รู้ เท่าที่ รู้ได้ !
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่เขาเต่า ๑ - ๔ สิงหาคม ๒๕๓๗ท่านอาจารย์
เมื่อ "กุศลจิตเกิด" ขณะใดขณะนั้น ก็เป็นการ "สะสมกุศลจิต" เมื่อ "อกุศลจิตเกิด" ขณะใด ขณะนั้น ก็เป็น "การสะสมอกุศลจิต" ท่านผู้ฟังบอกว่า "ชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม" .. "กรรมย่อมนำเกิด" เรื่อง "กรรม" เป็นเรื่องสำคัญ ฯลฯ แต่ว่าถึงจะสำคัญอย่างไร ขณะนี้ เวลานี้ ที่ท่านผู้ฟังกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ท่านผู้ฟังก็ไม่ทราบเลยว่า มาจากผลของกรรมอะไรเป็น ผลของกรรม ในชาติไหน ที่ผ่านไปแล้ว เป็น "ผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว"จากชาติไหนก็ไม่ทราบ.!นี่เป็นสิ่งที่เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย
เพราะฉะนั้น "เรื่องของกรรม" ไม่ใช่เรื่องที่เราจะรู้ได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าขณะใด เป็นกุศลกรรม ขณะใด เป็นอกุศลกรรมก็ พอ แล้ว การที่เรา "เข้าใจลักษณะ" ของกุศลจิต และ อกุศลจิตก็ ดีมาก แล้ว หมายความว่า แทนที่เราจะไปสนใจ "เรื่องราวของกรรม" แต่เรา "เข้าใจลักษณะ" คือ เข้าใจ "ลักษณะของสภาพธรรม" ที่เป็น กุศลจิต และ อกุศลจิต ดีกว่าจะไป "รู้เรื่องราวของกรรม" ดีกว่าไหม
ขณะที่ เรากำลังจะกระทำกรรมใดๆ กรรม หมายถึง เจตนา ความจงใจในการกระทำสิ่งใด สิ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เรากำลังจะกระทำ อกุศลกรรมขณะนั้น จะปราศจาก อกุศลจิต ไม่ได้ และขณะใด ที่เรากำลังจะกระทำ กุศลกรรมขณะนั้น จะปราศจาก กุศลจิต ไม่ได้.!เพราะฉะนั้นเรามารู้ตรง ลักษณะ ของ "เหตุ"คือ กุศลจิต และ อกุศลจิตให้ละเอียดลงไปจนถึง ขณะที่ กุศลจิต หรือ อกุศลจิตกำลังเกิด และ ปรากฏจะไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่อ กรรม ก็ไม่พ้นไปจาก กุศลจิต และ อกุศลจิต
ขณะที่กำลัง "เข้าใจลักษณะ" ของกุศลจิต และ อกุศลจิตก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรเลยแม้แต่ "เรื่องของอกุศลกรรมบถ" เพราะว่า ยังไงๆ "อกุศลกรรมบถ"คือ เจตนา ที่กระทำทุจริตกรรม หรือ เจตนาที่กระทำในฝ่ายอกุศล ที่สามารถจะเป็น "ปัจจัย" ให้ปฏิสนธิจิต เกิดได้และ อกุศลกรรมบถ ก็ไม่พ้นไปจาก อกุศลจิต ความรู้ ความเข้าใจ อย่างนี้ ทำให้เรารู้ไปถึง "ต้นตอ" คือ "เหตุ" แทนที่เราจะไปรู้แต่ "เรื่องราวของกรรม" ตั้งเยอะแยะ แต่เราก็ไม่รู้ว่า ขณะนี้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ เป็นผลของกรรมอะไร เมื่อไร ชาติไหน เรารู้ได้แต่เพียงว่าต้องเป็นผลของกรรมแล้วเราจึงมาอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่ตรงนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อมีผลของกรรม คือ วิบาก ที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ขณะที่ต่อจากผลของกรรม หรือ ขณะที่ต่อจากวิบากน่ะค่ะขณะต่อไปนั้น น่ะค่ะ เป็น กุศลจิต หรือ อกุศลจิต การรู้ว่าขณะใด เป็นกุศลจิต หรือ ขณะใด เป็นกุศลจิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่า ขณะที่ "รู้อกุศลจิต" ขณะนั้น เป็นการ "ตัดต้นตอ" ของ "อกุศลกรรม" แล้ว ถ้าเรา "รู้เรื่องราวของกรรม" ก็จะกลายเป็น "ความสงสัยที่ไม่รู้จักจบ" เพราะว่า เรื่องกรรมและวิบากนี้เป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยพระปัญญา (พระสัพพัญญุตญาณ) ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้น เรื่องของกรรม และวิบากนี้เราไม่มีทางที่จะรู้ไปถึง "ความละเอียด" ได้เลย แต่ว่า เราสามารถที่จะ "รู้" .. "ลักษณะของกุศลจิต" และ "ลักษณะของอกุศลจิต" ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ควรที่จะ รู้ เท่าที่ รู้ได้
(ขอขอบพระคุณ ท่าน ... ผู้เอื้อเฟื้อรูปภาพ ค่ะ)
ขออนุโมทนา
การรู้ว่าขณะใด เป็นกุศลจิต หรือ ขณะใด เป็นอกุศลจิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่า ขณะที่ "รู้อกุศลจิต" ขณะนั้น เป็นการ "ตัดต้นตอ" ของ "อกุศลกรรม" แล้ว
ขออนุโมทนาค่ะ
ทุกชีวิตต้องเป็นไปตามกรรม การรู้ว่าเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตเป็นดีที่สุด เมื่อกรรมเป็นผู้กำหนดชีวิต เป็นไปได้ไหมว่า กรรมก็กำหนดไม่ให้รู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล จะเห็นได้จากชวนมาฟังธรรมแล้วไม่มา อธิบายธรรมะให้ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ มีความเชื่ออย่างฝั่งใจว่ามีอัตตาตัวตน ก็รู้อยู่ว่าธรรมมีแต่รูปและนาม มีกุศลจิตหรืออกุศลจิตแล้วทำไมจึงยังเป็นอย่างนี้ จึงยังมีกรรมอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนี้ ต้องคิดอย่างนี้ ท่านบอกว่าเรื่องกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด แต่คิดนิดหน่อยคงไม่เป็นไรเพราะสงสัยอยู่นะ เมื่อคิดแล้วก็สงสัยอยู่อีกว่า คิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เป็นไปตามกรรมหรือการสังสมกันแน่ หรือการสังสมนี่แหละคือกรรม ท่านว่าเมื่อสงสัยก็จะสงสัยไม่รู้จักจบเป็นผู้เรียนที่ดีก็ต้องตามที่ท่านสอนไปก่อน รู้ว่าขณะใดเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตเป็นที่สำคัญที่สุด รู้เท่าที่รู้ได้ ครับ