ไม่ต้องแสวงหา...???

 
พุทธรักษา
วันที่  23 พ.ค. 2552
หมายเลข  12452
อ่าน  811

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอน จาก เทปวิทยุ แผ่นที่ ๑๖ครั้งที่ ๙๔๓ (๑๐.๓๒/๒๓.๐๓)

ตอนความหมาย และ ลักษณะของจิต

พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงทรงแสดงถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ปรากฏแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (คือ) "ธรรม" จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และ ทรงแสดง สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็น ประธาน ในการ "รู้อารมณ์"ซึ่งก็ เป็น "สภาพรู้" เป็น "ธาตุรู้" และ ไม่ใช่ ตัวตน

ผู้ศึกษาจะต้องศึกษา จนกว่าจะ "เข้าใจ" ใน "สภาพรู้" คือ "จิต" ที่กำลังเกิดดับ จนกว่าจะ "ประจักษ์ชัด" เพราะว่าไม่สามารถ ที่จะไปแสวงหา "ความจริงของจิต" ในที่อื่นๆ ได้นอกจาก ขณะนี้เอง (ขณะนี้) ที่กำลัง เห็น ทางตา กำลัง ได้ยิน ทางหู กำลัง ได้กลิ่น ทางจมูก กำลัง ลิ้มรส ทางลิ้น กำลังกระทบสัมผัส ทางกาย กำลัง คิดนึก ทางใจ ในขณะนี้เอง

ทุกคน มี"จิต" .. "จิต" ซึ่งเป็น "สภาพรู้" ที่กำลัง "รู้" สิ่งหนึ่ง สิ่งใดทางหนึ่ง ทางใด พร้อม ที่ "สติ" จะเกิดขึ้นและ ระลึกรู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เช่น ขณะที่ กำลัง "เย็น" .. "เย็น" กำลังปรากฏกับ "จิต" ซึ่ง "ธาตุรู้เย็น" ที่กำลังปรากฏ ปกติ ธรรมดา อย่างนี้

"สติ" สามารถที่จะ "ระลึกได้ทันที" ถ้ามี "ความเข้าใจที่ถูกต้อง" และ "ไม่หลงลืม" ขณะนั้น "สติ" กำลัง ระลึก ตรง "ลักษณะ" ของสภาพธรรม ซึ่งเป็น "รูปธรรม" เพราะว่า "มีลักษณะ เย็น"ซึ่งเป็น "สภาพธรรมชนิดหนึ่ง" ซึ่ง "ลักษณะเย็น" ไม่ใช่ "เสียง" ไม่ใช่ "สี" ไม่ใช่ "กลิ่น" ไม่ใช่ "รส" ไม่ใช่ "อ่อน-แข็ง" ไม่ใช่ "ตึง-ไหว"

มีสภาพธรรมที่มี "ลักษณะเย็น" และมี "สภาพธรรมที่รู้" ตรง สภาพธรรมที่มี "ลักษณะเย็น" ขณะนั้น ได้ แต่ ต้อง "เข้าใจ" ว่า "จิต" เมื่อเกิดขึ้นจะต้อง "รู้อารมณ์" ที่กำลังปรากฏทางใด ทางหนึ่ง (คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือ ทางใจ) แต่เพราะว่า ยังไม่ "ประจักษ์ชัด" ใช่ไหมคะ (คือ ยังมี "ความเป็นเรา") ยังมี "ความเป็นเรา" ที่เห็น ยังมี "ความเป็นเรา" ที่ได้ยิน ยังมี "ความเป็นเรา" ที่ได้กลิ่น ยังมี "ความเป็นเรา" ที่ลิ้มรส ยังมี "ความเป็นเรา" ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และยังมี "ความเป็นเรา" ที่คิดนึก ต่อไปๆ เรื่อยๆ

(เช่น ขณะที่กำลังเห็น) ยังไม่ "ประจักษ์" ว่า แท้จริงแล้วในขณะที่กำลังเห็น ต้องมี "สภาพรู้" ที่รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องแยก "ลักษณะ" ทั้ง ๒ ออกจากกันคือมี "สภาพรู้" (และมี "สภาพที่ถูกรู้") "สภาพรู้" (คือ จิตเห็น) นั้น จะต้องรู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เท่านั้นเอง จะรู้สิ่งอื่น ไม่ได้เลย เพียง "เห็น" ขณะนี้ เป็นของจริง เพียงแค่ "เห็น" ที่ กำลังเห็นนี้จะให้ไปคิด หรือไปนึก ไม่ได้ เพราะฉะนั้น "ขณะที่กำลังเห็น" ก็ เป็นเพียง "เห็น"

ซึ่งเป็น "สภาพธรรมที่กำลังเห็น" เท่านั้น ไม่ใช่ "ขณะอื่น" และ "เห็น" นี้ ก็ "ต้องเห็น" ด้วยจะไปบังคับไม่ให้ "เห็น" ก็ไม่ได้ นี่ คือ ความหมายของ "อนัตตา" หมายความว่า เมื่อมี "ปัจจัยให้เห็น" ก็ต้อง "เห็น" และ "เห็น" จะทำกิจอื่น ที่วิจิตรนอกไปจาก "เห็น" ไม่ได้เลย (ทางทวารอื่น โดยนัยเดียวกัน)


(ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา ท่าน ... ผู้เอื้อเฟื้อรูปภาพ)

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
pornpaon
วันที่ 24 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ประสาน
วันที่ 24 พ.ค. 2552

ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ เจริญธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 25 พ.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sam
วันที่ 26 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
aiatien
วันที่ 27 พ.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ