มีแล้ว...แต่ไม่รู้ !
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่เขาเต่า ๑ - ๔ สิงหาคม ๒๕๓๗
ท่านอาจารย์ เวลาที่เราอยู่คนเดียวเราก็อาจจะ ระลึกถึงสิ่งที่เคยได้ฟังพอสติ ระลึก เราก็ "นึก" ไปว่า เอ๊ะ นี่เป็นตัวตนที่ต้องการหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจะขาดการพิจารณา ไตร่ตรอง ไม่ได้ ความเข้าใจ ในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว นั้นจะต้องประกอบกัน ทั้งหมด เพื่อที่จะช่วยให้ เข้าใจขึ้นๆ และไม่เข้าใจผิด และ เข้าใจ ขึ้นๆ แม้แต่ ความผิดปกติ
ท่านผู้ฟัง บางครั้ง ผมไป จำสิ่งที่อาจารย์สอน ไม่ใช่ รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ผมก็เลย พยายาม ที่จะ รู้ซึ่งไม่ธรรมดาๆ ไม่สบายๆ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่า ท่านผู้ฟัง ที่ ฟังใหม่ๆ ก็เป็นอย่างนั้น แต่ ถ้าหากท่านผู้ฟัง ได้ฟังมากขึ้นๆ และ เข้าใจ มากขึ้นๆ จนกระทั่ง ทราบว่า การฟังพระธรรม นี้ เป็น การฟัง เพื่อ ละ เมื่อทราบว่า ฟัง เพื่อ ละ จึงจะทราบได้ ว่าตอนนั้นน่ะ (ขณะที่เข้าใจผิดไปจากควมเป็นจริง)
ท่านผู้ฟัง ไม่ได้ ละ
ท่านอาจารย์ แล้วก็ยังเป็น ตัวท่านผู้ฟังที่เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ เช่น กระทบแข็งแล้วก็ เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่า แข็ง คือ ตัวท่านผู้ฟัง เพราะฉะนั้น "สัมมาปฏิปทา" (คือ หนทางในการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง) จึงควรต้องเริ่มด้วย ความเข้าใจ ตั้งแต่ต้น เลยค่ะ ว่าไม่ใช่ จงใจ ที่จะไปดู หรือ ไปจดจ้อง เพื่อที่จะรู้
ท่านผู้ฟัง อย่างนี้ คำว่า เข้าใจแล้ว ไม่กล้าพูดเลย เพราะว่า ประเดี๋ยวก็จะกลับมาสงสัยอีก เพราะว่า เรายังไม่ใช่ "พระโสดาบัน" ที่ถามถึง หนทางเพราะว่า ไม่เข้าใจแต่ได้ฟัง คำอธิบาย แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ บางครั้ง ท่านผู้ฟัง เห็น สิ่งที่ปรากฏ ทางตาแล้ว ท่านผู้ฟัง ก็ รู้สึกดีใจ แล้วต่อมา ท่านผู้ฟังก็ รู้สึกเฉยๆ ใชไหมคะ
ท่านผู้ฟัง อาจารย์ หมายความว่า หนแรกน่ะ มีโลภะ แล้วดีใจ แต่หนหลัง ไม่มีโลภ เพราะว่า ไม่ดีใจแล้ว เพราะไม่เข้าใจในความละเอียด เช่น ขณะที่อยากจะอ่าน ก็เป็นโลภะแล้ว
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้อบรม เจริญสติปัฏฐานก็ ไม่สามารถ ที่จะทราบได้ ถึงโลภะอย่างละเอียด และเมื่อมี โลภะอย่างละเอียดก็ไม่รู้เลย ว่า มีแล้ว แล้วจะ ละ โลภะอย่างละเอียด นี้ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เราจึงทราบได้ถึงความต่างกัน (ของความเข้าใจ คือ ปัญญา) เช่น พระอรหันต์ ท่านก็ เห็น เช่นเดียวกัน แต่ ท่าน ไม่มี โลภะอย่างละเอียด
ขณะที่ พระอรหันต์ท่าน เห็นขณะนั้น ไม่มีทางเลยที่จะเกิด อกุศล ประเภทใด ทั้งสิ้น แต่ ขณะที่ ปุถุชน คนธรรมดาเห็น เช่นเดียวกันก็ ไม่รู้ตัว แล้ว ว่า หลังจาก เห็น แล้ว นั้น มีโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ คือ อกุศล ประเภทใด ประเภทหนึ่ง ได้เกิดแล้ว ซึ่งหมายความว่ามีแล้ว แต่ไม่รู้
เพราะฉะนั้นทันที่ที่ เห็น เกิดขึ้น "วิถีจิตวาระนั้น" ที่รู้ "รูปที่ยังไม่ดับ" ขณะนั้น "จิต" ของพระอรหันต์ เป็น กิริยาจิต แต่ "จิต" ของปุถุชน ถ้าหากไม่เป็น "กุศลจิต" ก็ ต้อง เป็น "อกุศลจิต"
(ขอขอบพระคุณ ท่าน เอื้อเฟื้อรูปภาพ ค่ะ)
ขออนุโมทนา