กาลครั้งหนึ่ง...เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ
สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่มูลนิธิฯ
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มี.ค. ๒๕๕๒
จง. ความคิดค่ะ
อ.จ. ความคิดเป็นธรรม รู้จักความคิดหรือยัง
จง. ก็รู้จักแค่การศึกษา
อ.จ. เพราะฉะนั้นความคิดมีแน่นอน จะกล่าวว่าความคิดไม่มีเป็นไปไม่ได้ แล้วก็รู้ด้วยว่า ความคิดต้องเกิดดับ แต่คิดไม่มีรูปร่างลักษณะ แต่กำลังมีเรื่องที่คิด คิดเรื่องอะไร ขณะนั้นก็มีเรื่องนั้น คุณอรรณพจะเล่าเรื่องที่สนทนา กับกล้า เมื่อวานนี้ไหมค่ะ คุณธิดารัตน์ด้วยคุณอรรณพด้วย กล้า คือเด็กอายุ ๖ ขวบ วันนี้มาแล้วหรือยังค่ะ
อ.อรรณพ กล้าเขาก็มากับคุณแม่ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคุณลุงเล่าแทน กล้าเขาก็วิ่งคุยกับคนโน้นคนนี้ กล้าเป็นเด็กที่ได้ยินได้ฟังธรรม จากคุณแม่ซึ่งสนใจฟังธรรมที่ท่าน อ.จ. ท่านบรรยาย เมื่อวานเขาก็มาคุยเลยเรียกผมไปดูปลวก ที่ขึ้นที่ศาลา กล้าก็จูงมือผมไปดูปลวก ผมก็เลยบอกว่า เออ...ปลวกขึ้นแล้วจะทำยังไงกันนี่ กล้าก็บอกว่า ถ้าโทรศัพท์ไปเรียกคนกำจัดปลวก ก็เสียทั้งค่าโทรศัพท์ และคนสั่งก็บาปด้วย ผมก็แกล้งถามว่า เราไม่ได้เป็นคนฆ่านี่ เราให้เขามา เขาบอกว่านั่นแหละเสียทั้งค่าโทรศัพท์ แล้วคนสั่งนั่นแหละบาป ก็เป็นความวิจิตรของจิตที่เขาสะสมมา แล้วกล้าก็คุยกับหลายคน แล้วคุณเด่นพงษ์เดินมาพอดี ก็บอกว่าเด็กๆ ก็จะสนทนาธรรมอะไรกันหรือ ผมก็บอกว่า เขาพอเข้าใจ นะครับ ไม่ทราบว่าคุณเด่นพงษ์ จะเชื่อไหม ก็แล้วแต่ชีวิตของแต่ละบุคคลจะสะสมมาอย่างไร และมีโอกาสที่จะเกิดในครอบครัว ที่มีโอกาสฟังธรรม
อ.จ. และได้สนทนากับคุณธิดารัตน์
อ.ธิดารัตน์ พอดีเมื่อวานนี้ตอนเย็น หนูนั่งอยู่แล้วมีพี่คนหนึ่งเขาถามหนูกล้าว่าคุณแม่ไปไหน น้องกล้าก็ตอบว่า ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้อยู่ในโลกของเขา แล้วก็เลยถามว่า เวลาน้องกล้าคิดถึงคุณแม่ๆ อยู่ในโลกของน้องกล้าหรือเปล่า ในตอนนั้น เขาตอบว่าอยู่ครับ...
อ.จ. แสดงให้เห็นถึงความคิด ที่เรากำลังกล่าวถึง ขณะใดที่คิดเรื่องอะไร ก็มีสิ่งนั้นในความคิด ขณะใดที่ไม่ได้คิด ก็ไม่มีสิ่งนั้นในความคิด เพราะฉะนั้น นี่ก็คือโลกทั้งหมด นี้ก็คือโลกไม่ว่าจะเป็นขณะไหนก็ตามมีเมื่อปรากฎเวลาที่คิด จิตคิดเกิดขึ้น ก็แล้วแต่ว่าคิดถึงอะไร
เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณจงนภาคิดถึงเรื่องธรรม โดยปริยัตินี้ กล่าวได้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ไม่อยากจะให้กล่าวรวมๆ แสดงว่าแม้ปริยัติก็กล่าวได้ว่าอะไรบ้างที่เป็นธรรม ขณะนี้แม้ยังไม่รู้จักตัวธรรมเลย ทั้งๆ ที่ธรรมก็กำลังปรากฎ แต่อวิชชาไม่สามารถที่จะรู้จักธรรมว่าเป็นธรรม ภูเขาใหญ่ที่ขวางกั้น ไม่ให้เห็น เพราะอวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นธรรม ใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตามแต่ แต่เมื่อมีความเข้าใจ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่ขวางก็ค่อยๆ น้อยลงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า การฟังธรรมและเข้าใจรอบรู้เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ที่ไปจำมา แค่จำ แต่ไม่ใช่ความเข้าใจจริงๆ ไม่สามารถจะให้รู้จักตัวธรรมได้ ด้วยเหตุนี้ฟังธรรมนี้ ตามลำดับจริงๆ คือไม่ต้องไปคิดเรื่องชื่อมากมาย ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร ตอบได้หมด แต่เดี๋ยวนี้ล่ะเป็นปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่า เห็นไหมค่ะเดี๋ยวนี้เป็นหรือเปล่า เวลาตอบๆ ได้หมดเลย อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ เป็นปฎิจจสมุปบาทหรือเปล่า ยังไม่รู้จักตัวธรรมเลย จำชื่อมา พูดชื่อ ตอบคล่อง แต่ขณะนี้มีอะไรที่กั้นไม่ให้คุ้นเคย ไม่ให้รู้ว่าเป็นธรรม เพราะสนใจในชื่อและในคำ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ธรรมเป็นสิ่งที่มี
พระผู้ ฯ ทรงตรัสรู้ ความจริงของสิ่งที่มี ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย ให้คนที่แม้มีก็ไม่รู้จัก ตายไปก็ไม่รู้จักว่ามีอะไร ไม่รู้จักอะไรเลยทั้งสิ้น ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่จากการตรัสรู้ก็ทำให้รู้ว่า ขณะใดก็ตาม เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ทรงแสดงความจริงลึกและละเอียด จนถึงการเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา จนกว่าจะหมดความเห็นผิด ยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรม จึงต้องละเอียด และเข้าใจจริงๆ ว่าจุดประสงค์ เพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฎ ทางตาก็พูดเรื่องตา ทางหูก็พูดเรื่องหู ทางจมูก ทางกาย ทางใจ ก็พูดเรื่องธรรมเดี๋ยวนี้นั่นเอง กว่าจะรู้จักตัวจริงของธรรม....