อันธสูตร .. คนตาบอด - ตาเดียว - สองตา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  1 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12543
อ่าน  3,868

... สนทนาธรรมที่ ...

>>> มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา <<<

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๖ มิ.ย. ๒๕๕๒ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น. คือ

๙. อันธสูตร

(ว่าด้วยคนตาบอด - ตาเดียว - สองตา)

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกบาต (เล่มที่ ๓๔)

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกบาต (เล่มที่ ๓๔)

๙. อันธสูตร

(ว่าด้วยคนตาบอด - ตาเดียว - สองตา)

[๔๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวก มีอยู่ในโลกบุคคล ๓ จำพวก คือใคร? คือ (อนฺธ) คนบอด, (เอกจกฺขุ) คนตาเดียว, (ทฺวิจกฺขุ) คนสองตา

ก็ บุคคลบอดเป็นอย่างไร? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีดวงตา (คือปัญญา) ที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์อันยังไม่ได้ก็ดี เป็นเหตุจะทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีขึ้น ก็ดี ทั้งไม่มีดวงตา (คือปัญญา) ที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล ...อันมีโทษและไม่มีโทษ ...อันหยาบและละเอียด ... อันเป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว นี่ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลบอด.

ก็ บุคคลตาเดียวเป็นอย่างไร? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์อันยังไม่ได้ ก็ดี เป็นเหตุจะทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีขึ้น ก็ดี แต่ไม่มีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่าบุคคลตาเดียว.

ก็ บุคคลสองตาเป็นอย่างไร? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์ ฯลฯ ทั้งมีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรม ทั้งหลาย ฯลฯ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลสองตา.

นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ มีอยู่ในโลก.

(นิคมคาถา)

คนตาบอดมืด เคราะห์ร้ายทั้ง ๒ ทาง คือ

โภคทรัพย์อย่างที่ว่าก็ไม่มี ความดีก็ไม่ทำ.

ส่วนอีกคนหนึ่งนี้ เรียกว่า บุคคลตาเดียว

ประกอบด้วยธรรมบ้างและอธรรมบ้าง แสวงหาแต่โภคทรัพย์ เป็นคนครองกาม ที่ฉลาด

รวบรวมทรัพย์ ด้วยการขโมย การโกงและการปลิ้นปล้อน บุคคลตาเดียวนั้น ละจากโลกนี้แล้ว ไปนรก ย่อมเดือดร้อน.

ส่วนคนที่เรียกว่า คนสองตา เป็นบุคคลประเสริฐ ให้ทรัพย์ที่ได้ด้วยความขยัน จากกองโภคะที่ตนหาได้โดยชอบ (เป็นทาน) มีความคิดที่ประเสริฐ มีใจไม่เคลือบแคลง ย่อมเข้าถึงฐานะอันเจริญ ซึ่งเป็นฐานะที่ถึงแล้วไม่เศร้าใจ. บุคคลควรหลีกคนบอดและคนตาเดียวเสียให้ไกล ควรคบแต่คนสองตา ซึ่งเป็นบุคคลประเสริฐ.

จบอันธสูตรที่ ๙.

อรรถกถาอันธสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอันธสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า จกฺขุ น โหติ ได้แก่ ไม่มีปัญญาจักษุ. บทว่า ผาตึกเรยฺย ความว่า พึงทำโภคะ (ที่ได้มาแล้ว) ให้คงอยู่ คือ ให้เจริญ.บทว่า สาวชฺชานวชฺเช ได้แก่ ธรรมที่มีโทษ และไม่มีโทษ. บทว่าหีนปฺปณีเต * ได้แก่ ธรรมขั้นต่ำ และขั้นสูง. บทว่า กณฺหสุกฺกสปฺปฏิภาเค ความว่า ธรรมดำและธรรมขาวนั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีความเป็นปฏิภาคกัน โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพราะขัดขวางกันและกัน. ก็ในบทนี้ มีความย่อดังต่อไปนี้

บุคคลพึงรู้จักกุศลธรรมว่า เป็นกุศลธรรม, พึงรู้จักอกุศลธรรมว่า เป็นอกุศลธรรม. แม้ในบทมีอาทิว่า ธรรมที่มีโทษเป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. ส่วนในธรรมที่มีความเป็นปฏิภาคกัน ทั้งธรรมดำและธรรมขาว ธรรมดำ บุคคลพึงรู้ว่า มีความเป็นปฏิภาคกับธรรมขาว, ธรรมขาว บุคคลพึงรู้ว่า เป็นปฏิภาคกับธรรมดำ ด้วยปัญญาจักษุใด จักษุแม้เห็นปานนั้นของบุคคลนั้น ไม่มี บุคคลพึงทราบความหมาย แม้ในวาระที่เหลือ โดยนัย ดังกล่าวมานี้แล.

บทว่า น เจว โภคา ตถารูปา ความว่า แม้โภคะชนิดนั้น ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น. บทว่า น จ ปุญฺานิ กุพฺพติ ความว่า และเขาย่อมไม่ทำบุญ. ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ เป็นอันตรัสถึงความไม่มีแห่งจักษุที่เป็นเหตุให้โภคะเกิดขึ้น และจักษุที่ทำให้เกิดญาณ (ปัญญาจักษุ) .

บทว่า อุภยตฺถ กลิคฺคโห ได้แก่ ถือผิด อธิบายว่า ถือพลาดในโลกทั้ง ๒ คือในโลกนี้ และในโลกหน้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่าอุภยตฺถ กลิคฺคโห คือ ถือประโยชน์ทั้ง ๒ คือที่เป็นไปในทิฎฐธรรมและสัมปรายภพว่าเป็นโทษ อธิบายว่า ถือเป็นความผิด. บทว่า ธมฺมาธมฺเมน ได้แก่ ด้วยธรรมคือ กุศลกรรมบถ ๑๐ บ้าง ด้วยธรรม คืออกุศลกรรมบถ ๑๐ บ้าง. บทว่า สโ ได้แก่ มักโอ่. บทว่า โภคานิ ปริเยสติ คือ แสวงหาโภคะทั้งหลาย.

บทว่า เถยฺเยน กูฏกมฺเมน มุสาวาเทน จูภย ความว่า แสวงหาโภคะทั้งหลาย ด้วยกรรมทั้งสอง ในบรรดากรรมมีไถยกรรมเป็นต้น. ถามว่าแสวงหาด้วยกรรมทั้งสองอย่างไร? ตอบว่า อย่างนี้ คือแสวงหาโภคะทั้งหลายด้วยไถยกรรม (การลักขโมย) และกูฏกรรม (การฉ้อโกง) ได้แก่ แสวงหาด้วยไถยกรรมและมุสาวาท และแสวงหาด้วยกูฏกรรม และมุสาวาท. บทว่า สงฺฆาตุ แปลว่า เพื่อรวบรวม. บทว่า ธมฺมลทฺเธหิ ได้แก่ ที่ได้มาโดยไม่ให้เสียธรรม คือ กุศล-กรรมบถ ๑๐. บทว่า อุฏฺานาธิคต คือ ที่ได้มาด้วยความเพียร.บทว่า อพฺยคฺคมานโส คือ มีจิตปราศจากวิจิกิจฉา. บทว่า ภทฺทกํานํ คือ สถานที่ที่ดีที่สุด ได้แก่ เทวสถาน. บทว่า น โสจติ คือเป็นที่ที่ถึงแล้ว ไม่เศร้าโศกด้วยความเศร้าโศกภายใน.

จบอรรถกถาอันธสูตรที่ ๙

หมายเหตุ * * หีนปฺปณีเต อ่านออกเสียงเป็น ฮี - นับ - ปะ - นี - เต


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
คุณ
วันที่ 1 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 1 มิ.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 1 มิ.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อันธสูตร (ว่าด้วยคนตาบอด - ตาเดียว - สองตา)

ข้อความโดยสรุป พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงบุคคล ๓ จำพวก ที่มีปรากฏอยู่ในโลก แก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้ คือ ๑. คนตาบอดมืด (อนฺธ) หมายถึง บุคคลผู้ที่ไม่มีความรู้ที่จะแสวงหาโภคทรัพย์ จึงเป็นผู้ไม่มีโภคทรัพย์ อีกทั้งไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ธรรมใด เป็นกุศล ธรรมใด เป็นอกุศลเป็นต้น

๒. คนตาเดียว (เอกจกฺขุ) หมายถึง บุคคลผู้ที่มีความฉลาดที่จะแสวงหาโภคทรัพย์ด้วยวิธีการต่างๆ และเป็นบุคคลผู้ที่รู้ธรรมบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้งความจริง จึงยังมีการกระทำที่มีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง และเมื่อกรรมไม่ดีให้ผล จึงทำให้ตกนรก ได้รับความทุกข์เดือดร้อน เพราะกรรมในส่วนที่ไม่ดีนั้น

๓. คนสองตา (ทฺวิจกฺขุ) หมายถึง บุคคลผู้ที่มีทั้งความรู้ที่จะแสวงหาโภคทรัพย์ด้วยความสุจริต ชอบธรรม เมื่อได้โภคทรัพย์มาแล้ว ก็รู้จักแบ่งปัน พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ธรรมใด เป็นกุศล ธรรมใด เป็นอกุศล เป็นต้น ควรหลีกบุคคลสองจำพวกแรก คือ คนตาบอดมืด และ คนตาเดียว เสียให้ไกล แล้วคบหาเฉพาะบุคคลสองตา เท่านั้น ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 2 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ball
วันที่ 2 มิ.ย. 2552


ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
arin
วันที่ 2 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 2 มิ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ ยังเป็นบุคคลตาเดียวอยู่

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุภาพร
วันที่ 4 มิ.ย. 2552

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
h_peijen
วันที่ 4 มิ.ย. 2552

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ