ทำอย่างไรไม่ให้หลงใหลในสตรีเพศและกามรมณ์

 
piroon
วันที่  22 พ.ค. 2549
หมายเลข  1260
อ่าน  14,426

เมื่อพบผู้หญิงสวยๆ เซ็กซี่ มักจะเกิดความพอใจหลงใหล และบางครั้งเกิดราคะจริต จะทำอย่างไรดีครับ รู้ว่ามันเป็นสิ่งเลวร้าย หากปล่อยความคิดตามกิเลสไป จะติดเป็นนิสัย ช่วยเมตตาเตือนสติด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 23 พ.ค. 2549

ตามหลักคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงไว้ว่าข้าศึกโดยตรง ของกามราคะ ก็คือการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน หรือกายคตาสติ การพิจารณา ร่างกาย (อาการ ๓๒) โดยความเป็นปฏิกูล คือไม่งาม ถ้าพิจารณาให้เห็นตาม ความจริงแล้วจะไม่พบความสวยงาม หรือสิ่งที่น่ายินดีในร่างกายนี้เลย ตั้งแต่หัว จรดเท้าเต็มไปด้วยของไม่สะอาด เช่น เส้นผม ทั้งกลิ่นทั้งสีของเส้นผมก็ไม่งาม มีกลิ่นเหม็น เจ้าของต้องสระต้องบำรุงต่างๆ นาๆ สังเกตเวลาเราเห็นตามร้าน ตัดผมหรือที่หลุดมาจากหัวคนแล้ว ทุกคนจะรังเกียจ เวลากินอาหารถ้ารู้สึกว่ามี เส้นผมอยู่ที่อาหาร เราก็จะต้องนำออกไปด้วยความรังเกียจ ถ้าเอาไปเผาไฟยิ่งมี กลิ่นเหม็น และสิ่งที่หล่อเลี้ยงเส้นผมอยู่ คือน้ำเลือดน้ำหนอง นี่ยกตัวอย่างแค่ เส้นผมเพียงอย่างเดียว อาการอื่นๆ ของร่างกายก็ไม่งามเหมือนกัน และร่างกาย นี้มีช่องเก้าช่อง เป็นที่ไหลเข้าไหลออกแห่งของไม่สะอาดเนืองนิจ คือ ที่ตาทั้ง สองข้างก็มีแต่ของสกปรก ที่หูก็เช่นกัน ช่องปากยิ่งเหม็นมาก ทวารเบาทวาร หนักก็มีแต่ของที่ไม่สะอาดไหลออกอยู่เนืองๆ ซึ่งในรายละเอียดจะศึกษาได้จาก พระไตรปิฎก การพิจารณาโดยความเป็นของปฏิกูล ย่อมข่มกามราคะได้เพียงชั่วคราวเท่า นั้น เมื่อไม่พิจารณา กามราคะย่อมเกิดขึ้นอีกได้ แต่การอบรมเจริญสติปัฏฐาน จนบรรลุความเป็นพระอนาคามีบุคคล สามารถดับกามราคะได้เป็นสมุทเฉท คือ ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้น ควรอบรมสติปัฏฐาน เพื่อการดับกิเลสทั้งหมดไม่ เพียงแต่กามราคะเท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
study
วันที่ 23 พ.ค. 2549

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 242

กรุณาคลิกอ่านที่...

เมื่อโลภะเกิดขึ้น... เธอก็นำมาพิจารณาด้วยอสุภะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
piroon
วันที่ 23 พ.ค. 2549

หากพิจารณาแยกส่วน เป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เลือด เอ็น ฯลฯ ก็สามารถ เห็นเป็นของปฏิกูลได้ แต่ในเวลาขณะเมื่อแรกเห็น ไม่สามารถจะแยกได้ทันที ยังเห็น ภาพรวมๆ ทั้งหมดในร่างกายเป็นก้อนเดียว หากนึกเป็นซากศพ ก็ยังไม่ได้เพราะสีสรร ยังสวยงาม นึกว่าเดี๋ยวก็เหี่ยว แก่ลงไป ยังไม่สำเร็จเช่นกัน บางทีเมื่อภาพนั้นลับหาย ไป ก็ยังอยู่ในภวังค์ จะทำเช่นไรดีครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 23 พ.ค. 2549

การพิจารณาอสุภะต้องพิจารณาด้วยปัญญา ไม่ใช่เพียงความคิดนึก ถ้าไม่ติดข้องใน ผู้หญิงสวยๆ เซ็กซี่ ก็ยังคงติดข้องในสิ่งอื่นๆ ความติดข้องหรือโลภะ เป็นเรื่องธรรมดา คงไม่มีใครไม่อยากเห็นสิ่งที่สวยงาม การศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อตนเอง การละ โลภะต้องละด้วยปัญญา ควรศึกษาพระธรรมให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
saowanee.n
วันที่ 23 พ.ค. 2549

ที่ยังติดข้องเพราะยังไม่เห็นโทษ

Buddha's dhamma is the only way that leads you to right understanding, which eventually helps eliminating ignorance (moha) .... this is how you can be detached. I am glad that at least you are aware when your mind is clinging to what you see... it is a good sign. Sati would arise more often when you have accumulated more "right understanding" So keep on studying Dhamma naka.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Niranya
วันที่ 24 พ.ค. 2549

ปลาที่เห็นเหยื่อ แล้วหลงยินดีในเหยื่อนั้น จุดจบก็คือ ความทุกข์. บุคคลที่เห็นทาง เรียบ และทางขรุขระ แล้วเลือกเดินในทางที่เรียบ คือผู้มีปัญญาดี. บุคคลที่เห็นทางที่ ปลอดภัย และทางที่อันตราย แล้วเลือกเดินในทางที่ปลอดภัย ผู้นั้นมีปัญญาดี บุคคลที่ เห็นทางที่ สะอาด สว่าง สงบ และทางที่ไม่สะอาด มืดมน วุ่นวาย แล้วเลือกเดินใน ทางที่สะอาด สว่าง สงบ ผู้นั้นมีปัญญาดี.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Niranya
วันที่ 24 พ.ค. 2549

โลกอันชรานำเข้าไปไม่ยั่งยืน โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

* การเป็นทาส ของกิเลส ตัณหา และอุปทาน มีแต่ ความทุกข์ทรมาน ทั้งกาย และใจ. อยู่กับมัน แต่อย่าเป็นทาสมัน เหมือน หยดน้ำ "บน" ใบบัว.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Niranya
วันที่ 24 พ.ค. 2549

" เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นจึงทราบความดับได้เฉพาะตน ฉะนั้นตถาคตจึงไม่ทุกข์... "

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wirat.k
วันที่ 30 พ.ค. 2549

โปรดฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นครับ และลองพิจารณาว่าแล้วใครล่ะครับที่ละกามคุณได้โดยเด็ดขาด ถ้าไม่ใช่พระอนาคามี บุคคล (แล้วเราเป็นใคร? ปุถุชน? หรือพระอริยบุคคล?) และในชีวิตประจำวัน ก็มีอกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนอกุศลจิตให้เป็นกุศล จิตได้ แต่ทรงสอนให้รู้และเข้าใจสภาพที่แท้จริง ถ้าจะมีเหตุปัจจัยให้คิดก็ต้องเป็น ไปตามเหตุปัจจัยล่ะครับ แต่ถ้าศึกษาพระธรรมแล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สติเกิดระลึก รู้ได้ว่านั่นก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่เขาเกิดขึ้นทำกิจของเขา สภาพธรรมก็มีให้รู้อยู่ ทุกขณะ แต่จะรู้หรือไม่รู้ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยล่ะครับ อยู่ที่จะศึกษา เพื่อพิจารณา ไตร่ตรองให้เกิดความรู้ความเข้าใจหรือไม่ ขอเป็นกำลังใจให้หมั่นฟัง พิจารณา ไตร่ตรองพระธรรมต่อไปนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
devout
วันที่ 31 พ.ค. 2549

Dear Khun Piroon,

Please read พระสูตรเสาร์ที่ 03-06-49, จะทำให้ เห็นโทษของความติดข้องมากขึ้น

Anumodana

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
prapas.p
วันที่ 1 มิ.ย. 2549

ผู้หญิงสวยๆ เซ็กซี่ ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ฉันทราคะ (ความยินดีพอใจด้วยโลภะ) ต่างหากเป็นสิ่งที่เลวร้าย ตัวอารมณ์ที่เห็นทางตาไม่ได้เลวร้าย เพราะสิ่งที่ปรากฏ ทางตากำลังปรากฏ เป็นเพียงรูปธรรม ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อารมณ์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป (ไม่ต่างจากขณะเห็นซากศพ) แต่เพราะความไม่รู้ว่า ไม่มีผู้หญิงสวยๆ เซ็กซี่ (ซึ่งเป็น เพียงบัญญัติอารมณ์) จึงเป็นธรรมดาที่กิเลสก็ต้องเกิด เพราะยังไม่มีเหตุปัจจัยเพียงพอ ที่จะเห็นโทษของความไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เมื่อ เข้าใจว่ามีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดสมบูรณ์ จนปัญญาสามารถดับกิเลส คือ กามราคะ (ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ด้วยโลภะ) จนดับไม่กลับมาเกิดอีก (หัวข้อธรรมอื่นๆ ได้มีผู้รู้ให้ความรู้ก่อนหน้านี้แล้ว)

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ทราย
วันที่ 1 มิ.ย. 2549

ที่ทุกข์เพราะเราไปยึดกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทำให้เราหลงลืมสติ แทนที่จะกลับมาระลึกอยู่ที่กาย ที่ใจเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
prachern.s
วันที่ 1 มิ.ย. 2549

ที่ทุกข์และยึดติดเพราะกิเลสต่างหากไม่ใช่เรา ขณะที่เป็นอกุศลขณะนั้นหลงลืมสติ ขณะที่สติเกิดขณะนั้นไม่หลงลืมสติ ควรศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อการรู้ตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
piroon
วันที่ 1 มิ.ย. 2549
ขอขอบคุณทุกคำแนะนำครับ จะนำไปพิจารณา ใตร่ตรองและพยายามศึกษาให้มากขึ้นกว่านี้ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
เจิด
วันที่ 2 มิ.ย. 2549

ขออนุโมทนาทุกคำแนะนำครับ มีประโยชน์มากจริงๆ กับชีวิตประจำวัน

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
อิสระ
วันที่ 1 ส.ค. 2549

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chorswas.n
วันที่ 4 ส.ค. 2549

ชนผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาตุคาม ถึงมีกำลังก็เป็นผู้หมดกำลัง แม้มีเรี่ยวแรงก็เสื่อมถอย มีตาก็เป็นคนตาบอด ชนผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาตุคาม ถึงมีคุณความดีก็หมดคุณความดี แม้มีปัญญาก็เสื่อมถอย เป็นผู้ประมาทติดพันอยู่ในบ่วง มาตุคามย่อมปล้นเอาการศึกษาเล่าเรียน ตบะ ศีล สัจจะ จาคะ สติและ มติความรู้ของตนผู้ประมาท

เหมือนพวกโจรคอยดักทำร้ายในหนทาง ย่อมทำยศ เกียรติ ฐิติความทรงจำ ความกล้าหาญ ความเป็นพหูสูตร และความรู้ของตนผู้ประมาทให้เสื่อมไป เหมือนไฟผู้ชำระ ทำของฟืนให้หมดไปฉะนั้น

อรรถกถามุทุปาณิชาดกที่ ๒

ขุททกนิกายชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ หน้า ๑๐๖

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
toangsg
วันที่ 14 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
nopwong
วันที่ 14 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
lovedhamma
วันที่ 20 พ.ค. 2556

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 13 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ