ผู้มีราตรีเดียวเจริญ - ภัทเทกรัตตสูตร และ อรรถกถา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 210
ข้อความบางตอนจาก
ภัทเทกรัตตสูตร
ว่าด้วยผู้มีราตรีเดียวเจริญ
[๕๒๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอุเทศ และวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังอุเทศและวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าวต่อไป.ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
[๕๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อม เรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้าน ทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ.
พระสูตร (เพิ่มเติม) - ความเห็น 3
อรรถกถา - ความเห็น 4
เพิ่มเติมคำขยายจากพระสูตร ครับ
[๕๒๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไรคือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว.
[๕๒๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไรคือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า เราได้มีรูปอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว .
[๕๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไรคือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสังขารอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง.
[๕๓๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง อย่างไรคือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสังขารอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต.ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง.
[๕๓๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไรคือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเล็งเห็นรูปโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน
[๕๓๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร คือ อริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมไม่เล็งเห็นรูปโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง ไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง ไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็น สัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง ไม่เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง ไม่เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่า ไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน
อรรถกถาภัทเทกรัตตสูตร
ภัทเทกรัตตสูตร มีคำขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:- ในภัทเทกรัตตสูตรนั้น
บทว่า ภทฺเทกรตฺตสฺส ความว่า ชื่อว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ เพราะความที่เขาเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยการตามประกอบวิปัสสนา.
บทว่า อุทฺเทสํ ได้แก่ มาติกา.
บทว่า วิภงฺคํ ได้แก่ บทที่พึงแจกแจงโดยพิสดาร.
บทว่า อตีตํ ได้แก่ในขันธ์ห้าที่ล่วงแล้ว.
บทว่า นานฺวาคเมยฺย ความว่า ไม่ควรนึกถึงด้วยตัณหาและทิฏฐิทั้งหลาย.
บทว่า นปฺปฏิกงฺเข ความว่า ไม่พึงปรารถนาด้วยตัณหาและทิฏฐิทั้งหลาย.
บทว่า ยทตีตํ นี้ในคาถานี้เป็นการกล่าวถึงเหตุ. เพราะสิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละไปแล้วดับแล้ว ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วนั้นอีก. อนึ่ง เพราะสิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็ยังไม่ถึง ยังไม่เกิด ยังไม่บังเกิด เพราะฉะนั้น บุคคลไม่พึงปรารถนาสิ่งที่ยังไม่มาถึงแม้นั้น
บทว่า ตตฺถ ตตฺถ ความว่า บุคคลผู้เข้าถึงธรรมแม้ปัจจุบันในธรรมใดๆ เห็นแจ้งธรรมนั้น ด้วยอนุปัสสนา ๗ อย่าง มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ในธรรมนั้นๆ เที่ยว. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลเห็นแจ้งในธรรมนั้นๆ ในที่ทั้งหลายมีป่าเป็นต้น
บทว่า อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อทรงแสดงวิปัสสนาและปฏิวิปัสสนา. จริงอยู่วิปัสสนาย่อมไม่ง่อนแง่น ย่อมไม่คลอนแคลนด้วยกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น เพราะฉะนั้น วิปัสสนานั้น ชื่อว่า อสํหิรํ ไม่ง่อนแง่น ชื่อว่า อสํกุปฺปํ ไม่คลอนแคลน. ท่านกล่าวอธิบายว่า บุคคลพึงพอกพูน พึงเจริญ พึงเห็นแจ้งเฉพาะวิปัสสนานั้น. อีกประการหนึ่ง นิพพานย่อมไม่ง่อนแง่น ย่อมไม่คลอนแคลนด้วยกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น เพราะฉะนั้น นิพพานนั้น จึงชื่อว่า อสํหิรํ อสํกุปฺปํ แปลว่า ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน.อธิบายว่า ภิกษุผู้บัณฑิตรู้แจ้งแล้ว พึงพอกพูนนิพพานนั้น คือเมื่อยังไม่บรรลุผลสมาบัติซึ่งมีนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ ก็พึงเจริญบ่อยๆ ก็เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุผู้พอกพูนนั้น.
บทว่า อชฺเชว กิจฺจํ อาตปฺปํ ความว่า ความเพียรที่ได้ชื่อว่า อาตัปปะ เพราะเผากิเลสทั้งหลายหรือยังกิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อนทั่ว พึงทำในวันนี้แหละ. บาทคาถาว่า โก ชญฺญา มรณํ สุเว ความว่า ใครเล่าจะรู้ความเป็นอยู่ หรือความตายในวันพรุ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า พึงทำความเพียรอย่างนี้ว่า ก็ความเนิ่นช้าย่อมมีในวันนี้เท่านั้นว่า เราจักทำทาน หรือจักรักษาศีล ก็หรือจักทำกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งในวันนี้แหละ เราไม่ยังจิตให้เกิดขึ้นว่า เราจักรู้ในวันพรุ่งหรือในวันมะรืน จักทำในวันนี้แหละ.
บทว่า มหาเสเนน ความว่า ก็การณ์แห่งความตาย มีหลายอย่างมีไฟ ยาพิษ และศัสตรา เป็นต้น คือ เสนาของมัจจุราชนั้น ความผิดเพี้ยนกล่าวคือ การทำสันถวไมตรีอย่างนี้ว่า ท่านจงรอสอง - สามวันก่อนจนกว่าข้าพเจ้าจะทำกรรมเป็นที่พึงของคนมีการบูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือกล่าวคือ การให้สินจ้างอย่างนี้ว่า ท่านจงถือเอาหนึ่งร้อย หรือหนึ่งแสนนี้แล้ว รอสอง - สามวัน หรือกล่าวคือ กองพลอย่างนี้ว่า เราจักต้านทานด้วยกองพลนี้ ดังนี้ กับมัจจุราชเห็นปานนี้ ซึ่งมีเสนาใหญ่ ด้วยอำนาจแห่งเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มี. ก็บทว่า สงฺคโร ความผิดเพี้ยนนั้น เป็นชื่อแห่งการทำสันถวไมตรี การให้สินจ้างและกองพล เพราะฉะนั้น เนื้อความนี้ได้กล่าวแล้ว
บทว่า อตนฺทิตํ ได้แก่ ผู้ไม่เกียจคร้าน คือขยัน. บุคคลนั้น ชื่อว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ เพราะความที่บุคคลนั้นเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะฉะนั้นบุคคลนั้น ชื่อว่าภทฺเทกรตฺโต ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ. พระมุนีคือ พระพุทธเจ้า ชื่อว่า ทรงสงบแล้ว เพราะความที่กิเลสทั้งหลายมีราคะ เป็นต้น สงบแล้ว ตรัสเรียกบุคคลผู้ปฏิบัติอย่างนี้นั้นว่า บุคคลนี้ ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ด้วยประการ ฉะนี้
ในบททั้งหลาย มีอาทิว่า เอวํรูโป แม้มีรูปคำมีวรรณะดุจแก้วมณี อินทนีล. หรือ บทว่า อโหสึ ความว่าเรามีรูปอย่างนี้ ด้วยอำนาจแห่งรูปอันพึงพอใจอย่างนี้นั้นเทียว. เรามีเวทนาอย่างนี้ ด้วยอำนาจแห่งสุขเวทนาและโสมนัสเวทนาอันเป็นกุศล มีสัญญาอย่างนี้ ด้วยอำนาจแห่งธรรมทั้งหลาย มีสัญญาเป็นต้น ซึ่งประกอบพร้อมด้วยเวทนานั้นเทียว มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้
บทว่า อตีตมาทฺธานํ ความว่า รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ได้แก่ รำพึง คล้อยตามตัณหาในรูปเป็นต้นเหล่านั้น. ย่อมไม่สำคัญว่า เราเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ ด้วยอำนาจแห่งรูปที่เลวเป็นต้น ฯสฯ มีวิญญาณอย่างนี้
บทว่า นนฺทึ น สมนฺวาเนติ ความว่า ตัณหาหรือทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยตัณหา อันบุคคลย่อมไม่ให้เป็นไป. พึงทราบความรำพึงถึงความเพลิดเพลิน กล่าวคือ ความเป็นไปแห่งตัณหาและทิฏฐิ ด้วยอำนาจแห่งรูปอันประณีต และพึงพอใจเป็นต้นเทียว แม้ในบทว่า เอวํรูโป สิยํ เป็นต้น
บทว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ปจฺจุปนฺเนสุ ธมฺเมสุ สํหรต นี้ ตรัสเพื่อทรงแสดงขยายอุทเทสว่า ก็บุคคลเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันในธรรมนั้นๆ อันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน
ก็บทว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ปจฺจุปฺปนฺนํ ธมฺมํน วิปสฺสติ เป็นต้น พึงตรัสไว้ในพระสูตรนี้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังตรัสถึงวิปัสสนาว่า ไม่ง่อนแง่นและว่าไม่คลอนแคลน เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงความมีและความไม่มีแห่งวิปัสสนานั้นเทียวจึงทรงยกมาติกาว่า บุคคลง่อนแง่นไม่ง่อนแง่น ดังนี้ แล้วตรัสความพิสดาร
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํหรติ ความว่า บุคคลชื่อว่า ถูกตัณหาและทิฏฐิคร่าไป เพราะไม่มีวิปัสสนา
บทว่า น สํหรติ ความว่า ชื่อว่าไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิคร่าไป เพราะมีวิปัสสนา
บทที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล
จบ อรรถกถาภัทเทกรัตตสูตรที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอถวายความนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรกล้า
คำของพระพุทธองค์ทุกคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกรู้ความจริง และไม่ประมาทในสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้
ผู้เข้าใจและเห็นประโยชน์ในคำที่ทรงแสดง จึงรู้ว่า เมื่อยังมีจิต ก็ควรได้เจริญกุศลอบรมปัญญาขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะไม่รู้ว่า ขณะจิตต่อไป จะมีบุคคลนี้อีกหรือไม่
กราบยินดีในกุศลพี่เมตตา และท่านผู้อนุเคราะห์ข้อความพระธรรมทุกท่านด้วยค่ะ