สว่างแล้วค่ะ
สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
ปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ม.ค. ๒๕๕๒
อ.อรรณพ แล้วอีก..ประการหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า และเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวลักษณะของนามธาตุ นามธรรม หรือ นามธาตุ มีลักษณะทีมืดสนิทเพราะสิ่งที่สว่างหรือสภาพธรรม ที่มีลักษณะคือ สว่าง ก็คือ รูปๆ เดียว ไม่ใช่จิตใดๆ เลย ที่มีลักษณะที่สว่างและไม่ใช่เจตสิกด้วย รูปก็มีอยู่ รูปเดียว ก็คือสีหรือวัณณะรูป ที่ปรากฏทางตาอยู่ในขณะนี้ ท่านอาจารย์กล่าวว่า จิต ซึ่งเป็นนามธรรมและเจตสิกด้วย เป็นสภาพธรรมที่มืดสนิท แต่ก็คงจะเข้าใจยากสำหรับผู้ที่เริ่มต้น จิตเห็นๆ ความสว่าง แต่จิตเห็นก็มืดสนิท
ท่านอาจารย์ เพราะจิต..ไม่ใช่ความสว่าง ตัวจิตเป็นสภาพรู้ คือเห็น ตัวจิตเป็นสภาพที่รู้คือได้ยิน แต่จิตไม่ใช่เสียงที่ได้ยิน และจิตไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้แม้เสียงก็ปรากฏไม่ได้ แต่เสียงก็ไม่ใช่จิต
อ.อรรณพ ก็เหมือน..กันทางหู ถ้าเราจะกล่าวว่านามธรรม ถ้าทางหูก็คือ แม้จิตได้ยิน โสตวิญญาณจะสามารถได้ยินเสียง ซึ่งมีสภาพดังซึ่งไม่ใช่เสียงคนเสียงสัตว์ แต่เป็นสภาพดังซึ่งไม่ใช่สภาพที่ได้ยิน จะกล่าวว่า สภาพที่ได้ยินซึ่งเป็นนามธรรมก็เงียบสนิท ก็เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ต้องแน่นอน..ที่สุด เพราะว่าไม่มี รูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ลองคิดถึงนะค่ะ ในความมืดสนิท แข็งปรากฏ แข็ง ยังมีสภาพแข็ง ยังปรากฏลักษณะที่แข็ง ถูกต้องไหมค่ะ แต่ตัวธาตุซึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แม้แข็งขณะนั้นก็ไม่ปรากฎ เพราะถ้ากำลังรู้ธาตุที่เป็นธาตุรู้นี้ จะไม่มีแข็ง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นนะค่ะ จะเห็นได้ว่าที่เราว่า ขณะนี้ที่กระทบสัมผัสแข็งได้โดยที่แข็งนี้ไม่ได้สว่างเลย ความมืดกระทบสิ่งใด แข็งก็ปรากฏในความมืด แข็งยังปรากฏลักษณะแข็ง เพราะฉะนั้น สภาพของจิตไม่ใช่ลักษณะแข็ง จะมืดยิ่งกว่านั้นหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น..การที่จะเข้าใจ พระธรรมที่ทรงแสดง คัมภีระลึกซึ้งแม้แต่ที่กล่าวว่า จิตเป็นธาตุรู้เป็นนามธาตุ ไม่มีรูปธาตุใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้นสักรูปเดียว ก็จะค่อยๆ ไปถึงความเข้าใจ ซึ่งก็เป็น ปกติธรรมดา ในขณะนี้เพียงแต่ว่า เป็นสภาพที่เหมือนซ้อนเร้น เพราะอวิชชาปิดบังความจริง ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ใครจะไปหาแสงสว่างจากจิตเห็น ใครจะไปหาแข็งในจิตเห็นไม่มีเลยนะค่ะ เพราะว่าขณะนี้ที่ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏโดยจิตซึ่งไม่สว่างเลย มืดสนิท แต่สามารถเห็น เพราะฉะนั้น ก็แยกธรรมที่ปรากฏทางตา กับจิตที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่ารู้จิตหรือรู้นามธรรม ไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง แต่เมื่อ สภาพธรรมนี้ เป็นอย่างนี้ปัญญาเจริญขึ้น จากการฟัง แล้วเข้าใจว่า เป็นธรรม ก็จะทำให้เริ่มเข้าใจลักษณะของธรรม น้อมไปสู่การที่จะไม่ลืมว่า สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ เป็นของจริง เป็นธรรมจริงๆ ไม่ไปที่ไหนเลยทั้งสิ้น แต่ปกติธรรมดา แม้สภาพนี้ปรากฏ ก็ไม่สนใจคิดนึกเป็นเรื่องเป็นราว สารพัดเรื่อง สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏเพียงชั่วคราว ที่สั้นมาก แล้วหมดไปๆ เรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ความจริงว่าต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วย ในขณะนั้น