เป็นเพียงสั้น ๆ
สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
ปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ม.ค. ๒๕๕๒
อ.ธิดารัตน์ เมื่อกี้..ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ธาตุรู้ที่อารมณ์ไม่ปรากฏตรงนี้ จะหมายความถึง เวลาที่รู้ลักษณะของนามธาตุหรือธาตุรู้ จะรู้แต่ตัวสภาพรู้ ซึ่งเป็นนามธาตุ ซึ่งไม่เกี่ยวกับอารมณ์ เพราะว่าตอนที่จิตรู้อารมณ์หมายถึงว่า เวลาคิดเรื่องก็เหมือนกันใช่ไหมค่ะ แต่ลักษณะของจิตที่คิด ก็เพียงลักษณะของจิตเท่านั้น โดยไม่มีอารมณ์
ท่านอาจารย์ จิต..หลากหลายมาก แต่ว่าลักษณะของจิตทั้งหมด ก็คือเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา โดยที่ต้องมีจิตที่กำลังเห็น ไม่ใช่ฟังแล้วก็ไปแยกแยะให้ปรากฏ ให้ประจักษ์การเกิดดับ โดยความเป็นเรา และโดยการไม่ละคลายความยึดถือสภาพธรรมนั้น
เพราะฉะนั้น..แม้ว่าสภาพธรรมนั้น ขณะนี้เกิดดับ แต่ถ้ายังยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะประจักษ์การเกิดดับได้ไหม ไม่ได้เพราะอะไรค่ะ เพราะว่าก่อนที่จะถึงการรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตก็เกิดดับสืบต่อโดยมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์แล้ว เราก็ใช้คำว่า หลังจากที่รูปดับไปแล้ว วิถีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ ที่รู้รูปเดียวที่ปรากฏ ซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะ เมื่อรูปดับ วิถีจิตที่จะรู้รูปนั้น กี่ขณะก็ต้องไม่เกิดอีกเลย เกิดขึ้นไม่ได้ และภวังคจิตคั่นเห็นไหมค่ะ ภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิต และต่อจากนั้นมโนทวารวิถีจิตก็จะรู้รูปนั้นต่อ ไม่เปลี่ยนเลย รวดเร็วมาก มีลักษณะที่เหมือนกับรูปที่ปรากฏทางจักขุวิญญาณ
เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่าความไม่รู้มีตลอดหมด ตั้งแต่เห็นจนถึงภวังค์ จนกระทั่งถึงมโนทวาราวัชชนะ เป็นมโนทวารวิถีทั้งหมด แล้วเวลาที่มีการที่ฟัง ขณะนี้เป็นปัญญาที่เริ่มสะสม ที่ไม่ลืมว่าขณะนี้ ถ้าปัญญาจะรู้ความจริง ก็คือ รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ อย่างหนึ่งอย่างใดที่ปรากฏ ไม่ใช่ไปทำให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ความจริง โดยสติเกิด ใช้คำว่าสติ เพราะถ้าไม่ใช้คำว่าสติ จะใช้คำอะไรอธิบาย ก็มีคำที่แสดงลักษณะของธาตุ ที่เป็นโสภณธาตุที่ดีงามที่ระลึกได้ แต่ระลึกที่นี่ไม่ใช่ระลึกเรื่องราว แล้วก็ไม่ใช่ไประลึกได้ เหมือนกับที่เราคิดได้นึกออก แต่ขณะที่รู้ตรงลักษณะ นั่นคือทำกิจของสติที่ระลึกรู้ตรงนั้น ใช้คำว่าการรู้ตรงลักษณะ เป็นอาการของสติที่ระลึกจึงรู้ตรงนั้น ไม่ลืมเพราะเวลาใดก็ตาม ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้วไม่ได้รู้ตรงลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ใช่ลักษณะของสติ แต่ขณะใดก็ตามที่ สภาพธรรมกำลังปรากฏ ตามปกติอย่างนี้ และเริ่มที่จะเข้าใจและรู้ในลักษณะนั้น นั่นก็คือสติเกิดขึ้น ทำกิจของสติ ซึ่งจะใช้คำอธิบายว่า สติเกิดระลึกและรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ไปรู้เป็นคำ หรือไปรู้เป็นเรื่องราวนะค่ะ แต่เพราะระลึก จึงรู้ลักษณะตรงนั้น
เพราะฉะนั้นขณะนั้นนะสั้นแค่ไหน ปัญญาแค่ไหน น้อยมาก แล้วผ่านไปอีกนานมาก ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละอย่างนี้ ต้องตรงถ้าเป็นรูปธรรม ก็คือเริ่มเข้าใจ ลักษณะที่เป็นสิ่งที่สามารถปรากฏทางตาให้เห็นเท่านั้นเองค่ะ คนเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเลยเพราะนิมิตสัณฐาน เป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ ทำให้จำรู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นปกติธรรมดา แม้พระอรหันต์ทั้งหลายก็รู้อย่างนี้ แต่ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ เวลาที่รู้อย่างนี้แล้ว ยังยึดถือมั่นคงว่าเป็นเราเพราะฉะนั้นเราฟังธรรม เราไม่เข้าใจธรรมแล้วทำอย่างไร เราจะรู้แจ้งธรรม ก็คือเราทั้งนั้นในสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะรู้ว่าจากการไม่รู้ก็คือเริ่มเข้าใจ ขณะที่ต่างกัน ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ ยังไม่พอ ยังเป็นปัญญาที่เริ่มรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นเพียงธรรม ที่ไม่ต้องเอ่ยชื่อว่า แข็ง หรือ เสียง อะไรเลยค่ะ แต่ลักษณะนั้นก็เป็นลักษณะของธรรมอย่างหนึ่งๆ ก็ยังไม่ถึงกาลที่คลายการยึดถือ
เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่จงใจตั้งใจ ต้องการที่จะรู้ขณะนั้น สีลัพพตปรมาส ไม่ใช่ความชินกับลักษณะ จนกระทั้งเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป จึงคลาย แม้ขณะที่กำลังเห็นนี้ ต้องเห็นแน่ๆ แต่เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เริ่มแล้วใช่ไหมค่ะ จะคลายการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเริ่มเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ก่อนที่จะคลาย ก็ต้องมีการที่ฟังแล้ว ก็รู้ว่าขณะไหน ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ กับขณะไหนที่เริ่ม แม้เพียงเริ่ม แต่ก็เป็นหนทางที่จะทำให้สามารถคลายการยึดถือ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก่อนที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป เพราะว่าต้องคลายการยึดถือสภาพธรรมก่อนนะค่ะ ไม่มีอะไรที่จะมาปิดบังพระธรรมให้หันไปสู่สภาพธรรมอื่น แล้วก็ต้องการให้มีการที่สภาพธรรมอื่น สภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใดปรากฏ โดยการที่รู้ว่า ขณะนั้นก็เป็นธรรม
เพราะฉะนั้น เราฟังธรรมชินชื่อธรรม แต่ยังไม่ชินลักษณะที่เป็นธรรม เพราะสติสัมปชัญญะ ยังไม่ได้รู้ในลักษณะนั้น แต่ถ้าเริ่มรู้ในลักษณะของสภาพธรรม เริ่มรู้ว่าลักษณะจริงๆ นี่แหละเป็นธรรม ไม่ต้องมีชื่อเลย ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งๆ ที่ปรากฏ จนกว่าจะชิน คลายไม่ยึดถือ สภาพธรรมทั่ว ปัญญาจึงสามารถแทงตลอด ความจริงของสภาพธรรม ไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้น