ของๆใคร ของใครก็หวง

 
opanayigo
วันที่  15 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12665
อ่าน  1,033

ในชีวิตปุถุชน [ผู้มากไปด้วยเรื่องราว]

เมื่อลืมตาตื่นก็เปิดประตูทั้งหก

รับรู้อารมณ์ต่างๆ แล้วก็ปรุงปั่นไป

ตามบทบาทการสะสม

เสพคุ้นบ่อยๆ เนืองๆ จนเคยชิน

ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ ทุกอย่างเป็นของเรา

คราบฝังแน่นชนิดที่โอโมก็ขอบาย

เกิดพร้อมกับคำว่า ยึดติด ติดยึด

ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ

และเมื่อความรู้สึกเป็นใหญ่ว่า ของๆ เรา

คน-สถานที่-ศาสนา ฯลฯ ของ เรา

แล้ว เขา คือ ใคร

เมื่อยังเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ย่อมเป็นเรื่องราวต่างๆ ตามมา

เมื่อยังไม่สามารถระลึกรู้ตามจริงได้

จึงเกิดการกระทำ ตามกำลัง

พลันได้รับเวทนาเสียบแทงใจให้ผล สุ (ก) ร้อน

ถูกโลกสันนิวาสครอบงำ (ตามเคย)

ก็นะ...ถึงเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก

ก็มันหวงนี่นา อาการแบบนี้เกิดบ่อยไหมค่ะ?

กราบอนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
opanayigo
วันที่ 15 มิ.ย. 2552

พระสุตตันตปิฎก [ว่าด้วยผัสสะ]

เชิญคลิกอ่านได้ที่

ผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย

..............................................................

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ปริศนา
วันที่ 15 มิ.ย. 2552

ท่านอาจารย์ เตือนว่า..."สติ" คือ การ ระลึก...ที่เป็นไปในกุศล

"ปัฏฐาน" คือ ที่ตั้งของสติ หรือ อารมณ์ของสติ.
และ
"ธรรม" ทุกอย่าง.... "ที่มีลักษณะ""เป็นที่ตั้งของสติ" ได้.
.
.
.

.....................ขออนุโมทนาค่ะ...................

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 15 มิ.ย. 2552

00370 ตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์

ตํ วินา นาญฺญโต ทุกฺขํ น โหติ น จ ตํ ตโต

ทุกฺขเหตุนิยาเมน อิติ สจฺจํ วิสตฺติกา

เว้นจากตัณหานั้นแล้วทุกข์ย่อมไม่มีแต่เหตุอื่น และทุกข์นั้นย่อมไม่มีจากตัณหานั้นก็หาไม่

เพราะฉะนั้น

ตัณหาตัวซัดซ่ายไปในอารมณ์ต่างๆ นั้น

บัณฑิตจึงรู้ว่า เป็นสัจจะ

โดยกำหนดอรรถว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์.


ธรรมเตือนใจวันที่ : 3 มิ.ย. 2549

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

หวง..หวงอะไร คน สัตว์ สิ่งของ ..?


แล้วใครที่ไม่หวง..ยิ่งเกี่ยวข้อง ผูกพัน ยึดมั่น..ก็ยิ่งหวง.ตราบเท่าที่.. ... เป็นโลกสันนิวาส ..ของปุถุชนข้อความจากพระพุทธพจน์....

[๒๑] ๑. เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์


พวกเธอยังจะร่าเริงบันเทิงอะไรกันหนอ เธอทั้งหลาย


อันความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป
เล่า.เชิญคลิกอ่าน....


สิ่งที่คร่ำคร่าชรา [ชราวรรค๑ที่ ๑๑]อนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คุณ
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

สาธุ

คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่า เป็นพาลหรือบัณฑิต

ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่าเป็นผู้แสดงอมตบท

บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธงของฤาษีทั้งหลาย

เพราะว่าธรรมเป็นธงของพวกฤาษี

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 17 มิ.ย. 2552

โลกสันนิวาส โลกสันนิวาส เท่าที่พบ ก็จะหมายถึงขันธ์ ๕ , หมายถึงสัตว์โลก , หมายถึง ที่เป็นที่เกิดของหมู่สัตว์ จึงเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาจริงๆ พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ท่านก็สามารถที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับมรรค กิเลสใดๆ ที่ท่านละได้แล้ว ก็ไม่เกิดขึ้นอีก เช่น พระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิด ไม่มีความลังเลสงสัยในสภาพธรรมไม่มีความตระหนี่ ไม่มีความริษยา พระอนาคามี ไม่มีโทสะ ไม่มีความติดข้องในกาม

พระอรหันต์ ไม่มีอวิชชา ไม่มีโลภะที่เป็นความยินดีพอใจในภพ ไม่มีมานะ ดังนั้น ถ้ากล่าวอย่างกว้างๆ พระอริยบุคคลทุกขั้น ยังมีขันธ์ ๕ (หนึ่งในความหมายของโลกสันนิวาส) ยังมีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป แต่ขันธ์ ที่เป็นไปในฝ่ายของอกุศลธรรมที่ท่านละได้แล้ว ก็ไม่เกิดขึ้นอีกแต่เมื่อกล่าวอย่างสูงสุด พระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว

ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ จึงกล่าวได้ว่า เป็นผู้ไม่มีโลกสันนิวาส

เพราะไม่มีขันธ์เกิดอีก ไม่ต้องมีการเกิดในภพภูมิต่างๆ อีก

(เป็นข้อความอธิบายของคุณ khampan.a เห็นว่าเป็นประโยชน์จึงนำมาลงให้อ่านกันคะ)

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 17 มิ.ย. 2552

กว่าจะถึงความเป็นผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย ก็ต้องค่อยๆ อบรมความเห็น

ถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฎในขณะนี้ว่าเป็นเพียงสภาพนามธรรม และ

รูปธรรมทั่วทั้ง ๖ ทวาร จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นระลึกรู้ในสภาพธรรมตรง

ตามความเป็นจริง ว่างจากสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งของต่างๆ ..

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
saifon.p
วันที่ 20 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
happyindy
วันที่ 20 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 21 มิ.ย. 2552

ปุถุชนปกติก็มีความหวงหรือความตระหนี่เป็นธรรมดาค่ะ

ตระหนี่ 5 อย่างคือ

1. ตระหนี่ที่อยู่อาศัย

2. ตระหนี่ลาภ

3. ตระหนึ่คำสรรเสริญ

4. ตระหนี่ตระกูล

5. ตระหนี่ธรรมะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ajarnkruo
วันที่ 21 มิ.ย. 2552

ความหวง ความไม่สละ ความตระหนี่ ฯลฯ

เป็นสิ่งที่ควรรู้ว่ามีจริง และเป็นสิ่งที่ควรรู้ด้วยว่า " ไม่ใช่เรา "

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ใจรวยริน
วันที่ 22 มิ.ย. 2552

ตระหนี่ยังไง ก็ต้องให้

ห่วงอย่างไร ก็ต้องจาก

ยุ่งอย่างไร ก็ต้องมีว่าง

พอว่างมากๆ ก็อยากจะยุ่ง

วันนี้คิดถึง พรุ่งนี้ลืม

นึกว่าฉลาด ที่แท้ยังโง่

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
choonj
วันที่ 22 มิ.ย. 2552

ปัญหามันอยู่ที่มีเรา มีของเรา มีหวงก็มีเรา มีของเราถึงหวง เมื่อมีเราโลกสันนิวาสก็เคลื่อนพลแล้ว แล้วชีวิตประจำวันก็เป็นอย่างนี้ เกิดมากกว่าบ่อยเสียอีกเป็นชีวิตประจำวันเลย ทีนี้จะไม่มีเราได้อย่างไร เอาเราออกได้อย่างไร ในเมื่อมีเราจนเป็นปรกติแล้วจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจยากโดยเฉพาะคนไหม่ พระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เกิดแล้วก็ดับหาสาระไม่ได้ เมื่อสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แล้งธรรมทั้งปวงก็เป็นอนัตตาตามคำสอน จึงไม่ใช่อัตตา เมือเป็นอัตตาก็มีเรา เป็นอนัตตาก็ไม่มีเรา จึงต้องเข้าใจเสียไหม่ให้ผิดไปจากที่เข้าใจที่เป็นปรกติมันก็ยากอย่างนีแหละ ยังมีผู้สอนเป็นจำนวนมากสอนเป็นอัตตา เป็นอันตรายมากๆ ๆ จะเสียเวลา จึงจำเป็นต้องเข้าใจไห้ถูกต้องถ้ารักจะเรียน ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Anutta
วันที่ 22 มิ.ย. 2552

ที่นี่ช่างรื่นรมย์จริงหนอ............^ ^

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
orawan.c
วันที่ 30 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ