พระโพธิสัตว์.....พิจารณาทานบารมีของท่านอย่างไร?
ลองอ่านดูนะคะ........
๑. ไทยธรรมมี ผู้ขอมี.......แต่ไม่ให้
เพราะเมื่อก่อน......เราไม่ได้สะสมเรื่องการให้
๒. ไทยธรรมมีน้อย
เพราะเมื่อก่อน......เราไม่เป็นผู้ให้ จึงขาดแคลนไทยธรรม
๓. เสียดายไทยธรรม
ก็จงคิดว่า.......เราปรารถนาการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรือการสะสมวัตถุ (อิ_อิ)
๔. เห็นความสิ้นเปลืองแห่งไทยธรรมเพราะการให้
ก็จงคิดว่า.......แม้ไทยธรรมนั้นก็ย่อมสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้ไม่ให้
อืม....อ่านจบแล้ว ท่านคิดว่าการให้เนี่ย.......ง่ายหรือยากค่ะ?
ขออนุโมทนาครับ
การให้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะธรรมดาคิดแต่จะได้ การให้ยากกว่าการกลืนดาบ
ยากกว่าการคิดจะให้ ยากกว่าการพูดว่าจะให้ แต่ที่ยากกว่าการให้ก็คือ
เมื่อให้แล้วไม่คิดเสียดายของที่ให้ไปครับ
คนตระหนี่กลัวภัยใดไม่ให้ทาน ภัยนั้นแลย่อมครอบงำคนตระหนี่
คนที่ไม่ให้ทานเพราะเหตุ 2 ประการ
1. เพราะความตระหนี่
2. เพราะความประมาท
ยากอย่างยิ่งที่จะมี "ปัญญา" ที่คิดให้...แล้วสละได้จริงอย่างพระโพธิสัตว์
ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น...ที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลขั้นทานของผู้ที่เป็นปุถุชน
ค่อยๆ เจริญขึ้นจนกว่าจะเป็น...ทานบารมี
ปล. ไม่ลืมว่ามีบารมีอื่นๆ อีกตั้ง ๙ บารมีที่ควรจะเจริญขึ้นด้วยนะครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
๑. ไทยธรรมมี ผู้ขอมี.......แต่ไม่ให้
เพราะเมื่อก่อน......เราไม่ได้สะสมเรื่องการให้
หากพระโพธิสัตว์ท่านเจอยาจก ผู้ขอ จิตคิดไม่ให้เกิดขึ้น ท่านจึงพิจารณาว่าเพราะเมื่อก่อน......เราไม่ได้สะสมเรื่องการให้เป็นแน่ ดังนั้นบัดนี้เราจะสละวัตถุจะน้อยหรือมากก็ตาม เราจะสละ สะสมการให้ให้เกิดขึ้น๒. ไทยธรรมมีน้อย
เพราะเมื่อก่อน......เราไม่เป็นผู้ให้ จึงขาดแคลนไทยธรรม
พระโพธิสัตว์เมื่อรู้ว่าของที่ให้มีน้อยและไม่ดี ท่านย่อมพิจารณาว่าเพราะท่านไม่ได้ให้
ในกาลก่อนเป็นแน่ พระโพธิสัตว์จึงพิจารณาด้วยปัญญา จึงบริจาควัตถุ จะน้อยหรือ
มาก แม้จะเบียดเบียนตนเองก็ตามท่านก็บริจาคครับ
๓. เสียดายไทยธรรม
ก็จงคิดว่า.......เราปรารถนาการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรือการสะสมวัตถุ
ทรัพย์สมบัติติดตัวไปไม่ได้เลย และทรัพย์สมบัติไม่สามารถทำให้สิ้นกิเลสและสิ้นทุกข์ได้ พระโพธิสัตว์จึงพิจารณาว่าโพธิญาณคือการตรัสรู้นั้นประเสริฐสูงสุด หากท่าน
เสียดายของที่จะให้ ไม่สละแล้วจะถึงการตรัสรู้ได้อย่างไร ท่านจึงสละ มีมือสะอาด ให้
กับผู้ขอ เป็นต้น
๔. เห็นความสิ้นเปลืองแห่งไทยธรรมเพราะการให้
ก็จงคิดว่า.......แม้ไทยธรรมนั้นก็ย่อมสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้ไม่ให้
พระโพธิสัตว์หากเกิดความคิดที่จะไม่ให้เพราะกลัวของจะหมด ท่านย่อมพิจารณาว่า
ตามธรรมดา สภาพธรรมทั้งหลายมีความเกิดขึ้นและดับไป เสื่อมไป เป็นธรรมดา แม้ทรัพย์ สมบัติก็มีความเสื่อม หมดไปเป็นธรรมดา แม้จะให้หรือไม่ให้ก็ตาม คนผู้มีทรัพย์เองก็ต้องจากทรัพย์สมบัติไปเช่นกัน และทรัพย์สมบัติถึงความหมดไปเพราะการไม่ให้เช่นกัน เพราะฉะนั้น เราจะให้แม้มีน้อยก็ตาม ท่านจึงสละความคิดของการที่จะไม่ให้เพราะกลัวของจะหมดได้ครับ
จะเห็นได้ว่า พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี ท่านก็มีจิตคิดไม่ให้เกิดขึ้นในบางครั้ง
หากแต่ว่าท่านสะสมปัญญามา จึงพิจารณาว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ควรจะให้หรือไม่
ให้ จึงเป็นเรื่องของปัญญา บารมี 10 มีปัญญาเป็นหัวหน้าเป็นประธาน ขาดปัญญาไม่
ได้เลย หากไม่มีปัญญาก็ต้องเป็นเรื่องยากในการคิดที่จะให้ ให้โดยไม่ได้หวังลาภ
สักการะ หรือให้เพื่อเป็นที่รัก แต่ให้เพื่อเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสจึงเป็นทานบารมี
ดังเช่นพระโพธิสัตว์ จึงเป็นเรื่องของปัญญาอย่างแท้จริงครับ อาศัยการฟังพระธรรม
ด้วยความแยบคาย เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลประการต่างๆ ก็เจริญขึ้น รวมทั้งกุศลขั้น
ทานด้วยครับ พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาย่อมให้โดยไม่เลือกว่าเป็นบุคคลใด ไม่เลือก
กว่าคนนี้เราให้ คนนี้เราไม่ให้ คนนี้ให้น้อย คนนี้ให้มากเพราะนั่นเป็นความเศร้าหมอง
ของทานบารมีและไม่เลือกของที่จะให้ด้วยครับ จึงเป็นเรื่องของปัญญาอันเกิดจากการ
ฟังพระธรรมนั่นเอง ยากไม่ยากจึงเป็นเรื่องของปัญญาครับ ปัญญาน้อยก็ยาก ปัญญา
มากก็ไม่ยากครับ
เชิญคลิกอ่านข้อความพระไตรปิฎกโดยตรงในเรื่องการให้ของพระโพธิสัตว์ครับ
พบยาจก...จิตไม่ให้เกิดขึ้นกับพระโพธิสัตว์ ท่านคิดอย่างไร? อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อืม....อ่านจบแล้ว ท่านคิดว่าการให้เนี่ย.......ง่ายหรือยากค่ะ?
การให้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะธรรมดาคิดแต่จะได้ การให้ยากกว่าการกลืนดาบ
ยากกว่าการคิดจะให้ ยากกว่าการพูดว่าจะให้ แต่ที่ยากกว่าการให้ก็คือ
เมื่อให้แล้วไม่คิดเสียดายของที่ให้ไป
ก็คงต้องสะสมการให้ที่เป็นทานบารมี และบารมีอีก 9 อย่าง ไปเรื่อยๆ แต่ละชาติ....
แต่ละกัปป์....จากการให้ที่เป็นความยากมากๆ ก็จะยากน้อยลง.....
แต่...... ถ้า " กลับบ้านเก่า " (คือเกิดในนรก) ......
ก็หมดโอกาสเจริญกุศลครับ
^
^
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ _/'_
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพระสูตรสูตรหนึ่งว่า.............
"ถ้าผู้ใดรู้ผลของทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
ผู้นั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้ทานเลย"
น่าคิดนะคะ......แม้แต่การให้เนี่ย......จะสมบูรณ์ไม่ได้เลย.....ถ้าขาดปัญญา
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพระสูตรสูตรหนึ่งว่า.............
"ถ้าผู้ใดรู้ผลของทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
ผู้นั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้ทานเลย"
ขออนุโมทนาค่ะ _/'_
เรียนถามถามท่านอาจารย์วิทยากรค่ะว่า "ไม่บริโภคก่อน" มีความหมายกว้าง
แค่ไหนค่ะ หมายถึงอาหารเพียงอย่างเดียว หรือสิ่งอื่นด้วย ขอขอบพระคุณค่ะ
ทานบารมีของพระโพธิสัตว์ กับทานของปุถุชน ย่อมต่างกันมาก ทานของพระโพธิ-สัตว์ย่อมให้ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นลูกเมียและประกอบด้วยปัญญา ส่วนทานของปุถุชนจะให้ได้ทุกอย่างแต่อาจไม่ประกอบด้วยปัญญาจะทำให้เดือดร้อน จึงต้องมีสติให้ทานที่ประกอบด้วยปัญญาและไม่เดือดร้อน การให้ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็จะเป็นการให้ด้วยอกุศลคือโลภะถีงแม้นว่าจะได้บุญแต่ก็จะเป็นการต่อวัฎฎะ
ในเมื่อการให้เป็นการสั่งสม การให้ที่ประกอบด้วยปัญญาก็สั่งสม ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็สังสม จึงควรระวัง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตผู้ตั้งกระทู้และสหายธรรมทุกท่านด้วยค่ะ ^/\^
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพระสูตรสูตรหนึ่งว่า.............
"ถ้าผู้ใดรู้ผลของทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
ผู้นั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้ทานเลย"
ขออนุโมทนาค่ะ _/'_
เรียนถามถามท่านอาจารย์วิทยากรค่ะว่า "ไม่บริโภคก่อน" มีความหมายกว้าง
แค่ไหนค่ะ หมายถึงอาหารเพียงอย่างเดียว หรือสิ่งอื่นด้วย ขอขอบพระคุณค่ะ
คำว่า "ไม่บริโภคก่อน" ส่วนใหญ่ท่านจะหมายถึงอาหาร แต่ก็ควรจะรวมถึง
สิ่งอื่นด้วย เช่น เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ในสมัยก่อน ถ้าได้ผ้าใหม่ที่มีราคามากมาท่านก็คิดถึงผู้มีศีล มีคุณธรรมเป็นต้นครับ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพระสูตรสูตรหนึ่งว่า.............
"ถ้าผู้ใดรู้ผลของทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
ผู้นั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้ทานเลย"
ขออนุโมทนาค่ะ _/'_
เรียนถามถามท่านอาจารย์วิทยากรค่ะว่า "ไม่บริโภคก่อน" มีความหมายกว้าง
แค่ไหนค่ะ หมายถึงอาหารเพียงอย่างเดียว หรือสิ่งอื่นด้วย ขอขอบพระคุณค่ะ
คำว่า "ไม่บริโภคก่อน" ส่วนใหญ่ท่านจะหมายถึงอาหาร แต่ก็ควรจะรวมถึง
สิ่งอื่นด้วย เช่น เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ในสมัยก่อน ถ้าได้ผ้าใหม่ที่มีราคามากมาท่านก็คิดถึงผู้มีศีล มีคุณธรรมเป็นต้นครับ
เหมือนเมื่อครั้งที่ท่านพระอานนท์ได้รับผ้าใหม่ ท่านก็นำไปถวายท่านพระสารีบุตร
แล้วท่านพระสารีบุตร ก็ได้นำผ้าผืนนั้นไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ช่างน่าอนุโมทนาจริงๆ ค่ะ..........สาธุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 168
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทาน
เหมือนอย่างเรารู้ไซร้ สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้วก็จะไม่พึงบริโภค
อนึ่ง ความตระหนี่อันเป็นมลทิน จะไม่พึงครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่านั้นไม่พึงแบ่งคำข้าว คำหลังจากคำข้าวนั้นแล้ว
ก็จะไม่พึงบริโภค ถ้าปฏิคาหกของสัตว์เหล่านั้นพึงมี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ผลแห่งการจำแนกทาน
เหมือนอย่างเรารู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายไม่ให้แล้วจึงบริโภค
อนึ่ง ความตระหนี่อันเป็นมลทินจึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น ฯ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
"ถ้าผู้ใดรู้ผลของทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
ผู้นั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้ทานเลย"
ผู้ที่มั่นคงในการเจริญกุศลอย่างมาก ย่อมเป็นผู้ให้ทานก่อนบริโภค ซึ่งต้วอย่างใน
พระไตรปิฎกก็มีผู้ที่มั่นคงในการเจริญกุศลย่อมให้ก่อนบริโภค ยังไม่ให้แล้วท่านย่อมไม่
บริโภคเลย ท่านให้ทานกับพระภิกษุสงฆ์ ท่านผู้นี้เป็นพระราชาของศรีลังกาในอดีต
ผู้เจริญกุศลมากมาย ทรงเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นพระราชาชื่อว่า
พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ขอเชิญอ่านเรื่องราวของท่านในเรื่องการให้ทานก่อนบริโภค
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วซาบซึ้งครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่......เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย [อรรถกถานิทานสูตร] อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์