ความไม่มีสาระของขันธ์ ๕
ในชีวิตประจำวันทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้นเป็นไปเป็นแต่เพียง จิต เจตสิก และรูป
ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปติดต่อกันไม่ขาดสาย แต่เพราะความไม่รู้จึงยึดถือ ขันธ์ทั้ง ๕
ว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน แท้จริงขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปอยู่ตลอดเวลา หาสาระอะไรไม่ได้ เช่น จิตเห็นเมื่อตะกี้นี้ก็ดับไปแล้ว
จิตเห็นเมื่อวานอยู่ที่ไหน เอากลับมาก็ไม่ได้ จะหาสาระจากสิ่งที่ไม่เที่ยงได้อย่างไร
ท่านอาจารย์อธิบายว่า ในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวิภังค์ปกรณ์ ได้
แสดงความหมายของคำว่า "ไม่เที่ยง" ด้วยอรรถว่า " มีแล้วหามีไม่ "
ความสุขนิดหนึ่งเมื่อกี้นี้มี หมดแล้ว มีแล้วก็หามีไม่ ได้ยินทางหู เมื่อกี้นิดหนึ่ง แต่ว่ามีแล้วก็หามีไม่ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู....... และทางใจ
มีนิดหนึ่ง แล้วก็หามีไม่ มีต่อไปอีกนิดหนึ่ง แล้วก็หามีไม่ เรื่อยไปในวัฎฎะ
ไม่ว่าจะเป็นสุข ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี้เป็นลักษณะของความไม่เที่ยง
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ
บอกว่าไม่ยึดถือ แต่ก็กำลังยึดถือเรื่องไม่ยึดถือ
หาสาระไม่ได้ ก็กำลังมีสาระ
เอากลับมาไม่ได้แต่รอการกลับมา
เริ่มรู้แต่ความจริงยังไม่รู้ แค่เพิ่งคิดว่ารู้ก็กลับเป็นไม่รู้
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 175 คำว่า อนิจจัง ได้แก่ ขันธ์ ๕. เพราะเหตุไร? เพราะความที่ขันธ์ ๕ มีความ-
แปรเปลี่ยนไปด้วยความเกิดและความเสื่อม หรือว่า เพราะมีแล้วกลับไม่มี. ความ
ที่ขันธ์ ๕ มีความแปรเปลี่ยนไปด้วยความเกิดและความเสื่อม หรือว่า ความเปลี่ยน
แปลงแห่งอาการ (ลักษณะ) กล่าวคือ เป็นแล้วกลับไม่เป็น ชื่อว่า อนิจจลักษณะ. อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
หากไม่เห็นคุณและโทษของขันธ์ 5 ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาก็ยังต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์เชิญคลิกอ่าน....
คุณโทษและเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์๕ [อัสสาทสูตรที่ ๓]
อนุโมทนาคะ
บอกว่าไม่ยึดถือ แต่ก็กำลังยึดถือเรื่องไม่ยึดถือ
หาสาระไม่ได้ ก็กำลังมีสาระ
เอากลับมาไม่ได้แต่รอการกลับมา
เริ่มรู้แต่ความจริงยังไม่รู้ แค่เพิ่งคิดว่ารู้ก็กลับเป็นไม่รู้
ที่เขียนว่า...
เอากลับมาไม่ได้ แต่รอการกลับมา
.
.
.
ขออนุญาตสนทนาค่ะกรุณาขยายความหน่อย ได้ไหมคะ...ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ.
ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนา สำหรับคำอธิบาย ค่ะ.
จิตเห็นเมื่อตะกี้นี้ก็ดับไปแล้ว
จิตเห็นเมื่อวานอยู่ที่ไหน เอากลับมาก็ไม่ได้
เห็นแล้วไม่ชอบไม่น่าพอใจก็โกรธ
เห็นแล้วชอบน่าพอใจก็โลภ
เห็นแล้วเข้าใจทำความดีก็เป็นกุศล
เห็นแล้ว ก็ยังต้องทำบุญทำบาป ไม่พ้นการทำ กุศล อกุศล
ยังคงสะสมในจิตทุกขณะ เป็นไปตามการสะสม
กรรม เป็นเจตนา ทำแล้วไปแล้วเอากลับมาไม่ได้
ต้องรอรับผลของกรรมที่ทำไปแล้ว รอรับวิบากที่จะมาถึง
อยากเอากลับมา ก็เอามาไม่ได้ ไม่อยากรอ ก็ต้องรอ
ท่านทั้งหลายจงมาดูในโลกนี้ (ยึดถือขันธ์ 5 ว่าสวยงาม)
อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกมุ่นอยู่
แต่พวกผู้รู้หาข้องไม่