รู้...สิ่งที่...มี !
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรม ที่เขาเต่า ๑-๔ สิงหาคม ๒๕๓๗
คุณย่าสงวน เวลานี้เรากำลังเรียน เรื่อง "ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐" ... "อเหตุกะ" ด้วย
ท่านอาจารย์ "ทวิ" แปลว่าสอง" ปัญจ" แปลว่า ห้า เพราะฉะนั้นจิต ๑๐ ดวง นี้ เป็น "วิบากจิต" แต่ เราไม่ต้องไปใช้ "ชื่อ" อย่างนั้นก็ได้เพราะว่าเราควร "เข้าใจ" เสียก่อนแล้ว "ชื่อ" ค่อยตามมาทีหลัง
คุณย่าสงวน หมายความว่า พอ "เข้าใจ" ก็จะเห็นตามความเป็นจริงคือ "เข้าใจ" ตามที่ท่านสอน และ "เห็นตัวจริง"
ท่านอาจารย์ ถ้า เข้าใจ "ตัวจริง" แล้วค่อยตามด้วย "ชื่อ"อย่างนี้ จะไม่งง เพราะว่า ถ้า พูดชื่อ คือ "ชื่อ" มาก่อนแต่ก็ไม่รู้ ว่า หมายความว่าอย่างไร ก็จะงง แต่ถ้าเรา "เข้าใจ" เสียก่อน อย่างนี้แล้วค่อย ใช้ "ชื่อ" อย่างเช่น "ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ประเภท" นี้ ถ้าเป็น "จักขุวิญญาณจิต" มี ๒ ประเภท คือ เห็น สิ่งที่ดีเป็น "กุศลวิบากจิต" และเห็น สิ่งที่ไม่ดีเป็น "อกุศลวิบากจิต" เป็นต้น ทางตาสองประเภท คือ กุศลวิบากจิต และ อกุศลวิบากจิตทางหู สอง ... ทางจมูก สอง ... ทางลิ้น สอง ... ทางกาย สองก็โดยนัยเดียวกัน รวม เป็น "จิต ๑๐ ประเภท" ซึ่งจิต ๑๐ ประเภท นี้คือ"ผลของกรรม" และจิต ๑๐ ประเภท นี้ไม่มี โลภะ และ โทสะ เกิดร่วมด้วย เลย หมายความว่า ไม่มี "เหตุ" คือ กุศลธรรม และ อกุศลธรรม เกิดร่วมด้วยจึงเป็น "อเหตุกจิต" คือ จิต ที่ไม่มี "เหตุ" เกิดร่วมด้วย นั่นเอง
ทีนี้ เรายังไม่เอา "ชื่อ" มาใส่ แต่ ค่อยๆ "เข้าใจลักษณะ" ของสภาพธรรม ดีกว่า เพราะถ้าหากเรา เรียน โดยการ "จำชื่อ" ป่านนี้ เราก็สับสน ปนกันหมดแล้ว สภาพธรรม คือ ปรมัตถธรรมคือ "ตัวธรรมะ" จริงๆ ที่กำลังปรากฏ เมื่อ "ศึกษา" ก็ศึกษา จาก "ตัวธรรมะ" หรือ "ปรมัตถ์" ที่ มี จริงๆ โดยมากที่สอนกัน ... ก็สอน "เรื่องราว" แล้วเมื่อ ประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่สอดคล้องกัน เพราะว่าไม่ได้ "รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ" "สิ่งที่ปรากฏ"ปรากฏให้ "รู้" ได้ เช่น ได้ยิน ทางหู หรือ เห็น ... ทางตา เป็นต้น ทำไมจะ "รู้" ไม่ได้ ในเมื่อ ขณะนี้ กำลังเห็น "เห็น" มีแล้ว ถ้าจะ "รู้" ก็ "รู้ สิ่งที่ มี ให้รู้" ให้ "เข้าใจ" สิ่งที่มี ถ้า ไม่เข้าใจ สิ่งที่ มีก็ ไม่ใช่ "ปัญญา" และถ้า ไม่มี "สิ่งที่ปรากฏ" ก็ "เข้าใจ" ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ มี "สิ่งที่กำลังปรากฏ" ให้ "เข้าใจ" ได้ หรือ "ความเข้าใจ" ใน สิ่งที่กำลังปรากฏ นั้นเอง คือ การอบรมเจริญปัญญา
พระไตรปิฎกต้องมีความสอดคล้องกันหมดทั้ง ๓ ปิฎกทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ "ปฏิเวธ" คือ การประจักษ์แจ้ง แทงตลอด ในความเกิด-ดับ ของสภาพธรรมที่ กำลังเกิด-ดับ ในขณะนี้ รู้ อย่างนี้จึงจะ "ไม่มีตัวตน" ได้จริงๆ ถ้ายัง ไม่รู้ อย่างนี้หมายความว่า "ปัญญา" ยังไม่ถึงระดับขั้น "ปฏิเวธ" และ ยังต้องมี "ความเป็นเรา"
... ขออนุโมทนา ...