ขณะที่รู้สภาพโกรธ..อะไรเป็นรูปครับ

 
bom8813
วันที่  24 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12746
อ่าน  1,355

ขณะที่รู้สภาพโกรธ จิตรู้สภาพโกรธก็เป็นนาม สภาพโกรธก็เป็นนาม อยากทราบครับ

ว่าแล้วอะไรเป็นรูปครับ อีกอย่างครับ ตอนที่คิดนึก เรื่องราวที่คิดนึกก็เป็นนาม ตัวรู้เรื่อง

ราวที่คิดนึกก็เป็นนาม ผมเลยไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นรูป กล่าวคือผมไม่เห็นและไม่รู้จักรูป

ในขณะที่รู้ทางมโนทวารครับผม ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 24 มิ.ย. 2552
ถ้ากล่าวโดยนัยของอารมณ์ ขณะที่สติระลึกรู้สภาพโกรธ ไม่มีรูปเป็นอารมณ์แต่ถ้ากล่าวโดยรวม ในภูมิที่มีขันธ์ห้า จิตและเจตสิกจะเกิดโดยไม่อาศัยรูปไม่ได้ดังนั้น ขณะที่สติระลึกรู้สภาพโกรธ ขณะนั้นก็มีรูป แต่สติไม่ได้รู้รูป แต่เมื่อจิตคิดนึกถึงเรื่องราวบัญญัติ ขณะนั้นจิตมี บัญญัติเป็นอารมณ์ บัญญัติไม่ใช่นามและทางมโนทวารวิถีจิตรู้ได้ทั้งรูปและนาม และรู้บัญญัติด้วย ถ้ารูปใดยังไม่ปรากฏก็ยังไม่ต้องกังวลที่จะรู้ ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
bom8813
วันที่ 24 มิ.ย. 2552
ขอบคุณมากครับ ผมเข้าใจมานานเลยครับ ว่า บัญญัติ เป็นสัญญา ซึ่งเป็นนาม
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
bom8813
วันที่ 24 มิ.ย. 2552

ขออนุญาติฟุ้งซ่านและสอบถามเพิ่มเติมครับ 1. ที่พี่บอกว่า บัญญัติไม่ใช่นาม

เพราะฉะนั้น บัญญัติก็ต้องเป็นรูป อยากทราบว่าเป็นรูปยังไงครับผม2. และที่พี่บอกว่า ทางมโนทวารวิถีจิตรู้ได้ทั้งรูปและนาม และรู้บัญญัติด้วย

อยากรบกวนให้พี่ยกตัวอย่าง ทางมโนทวารวิถีจิตที่รู้รูป ครับผม

ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ * * หมายเหตุ ถ้าผมเข้าใจอะไรหรือถามอะไรผิดไปก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ประสาน
วันที่ 24 มิ.ย. 2552

ณขณะนั้นสภาพโกรธเป็นรูป ส่วนรู้สภาพโกรธเป็นนามครับ ในทำนองเดียวกัน

เรื่องราวที่คิดนึกเป็นรูป ส่วนรู้เรื่องราวคิดนึกเป็นนาม ถูกหรือผิด ช่วยบอกด้วย

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prachern.s
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

เรื่องราวเป็นบัญญัติ บัญญัติ ไม่ใช่ทั้งรูปและนาม เพราะบัญญัติไม่มีอยู่จริงสำหรับวิถีจิตทางมโนทวารรู้ได้ทุกสิ่ง นอกจากรับรู้รูป สี เสียง กลิ่น รส และ

โผฎฐัพพะ ต่อจากวิถีจิตทางปัญจทวารแล้ว มโทวารยังรู้รูปอื่นๆ นอกเหนือจาก

๗ รูป ที่กล่าวมา เช่น ปสาทรูป หทยรูป ภาวรูป ชีวิตรูป เป็นต้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งไปกว่าชื่อไม่มีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

ควรเข้าใจก่อน ว่า สภาพธรรม มี ๒ ประเภท (โดยย่อ) คือ นามธรรม และ รูปธรรม
นามธรรม

คือ จิต เจตสิก นิพพาน...เป็นสภาพธรรมที่ รู้อารมณ์.
รูปธรรม

คือ รูป ๒๘ ประเภท....เป็นสภาพธรรมที่ ไม่รู้อารมณ์ อะไรเลย.
.จิต รู้ อารมณ์ เช่น เห็น หรือ ได้ยิน เป็นต้นเจตสิก "ที่เกิดร่วมกับจิต" มีหลายประเภท ตามเหตุ-ปัจจัย.
และ "ความโกรธ" เป็น "เจตสิก" ประเภทหนึ่งที่มี "ลักษณะ" ปรากฏให้รู้ได้...?
(ซึ่ง จำเป็น ต้องศึกษาในรายละเอียด ต่อไป...)
.
สำหรับคำถามที่ว่า...

ขณะที่รู้สภาพโกรธ จิตรู้สภาพโกรธก็เป็นนาม สภาพโกรธก็เป็นนาม อยากทราบครับ ว่า แล้วอะไรเป็นรูปครับ?
.
สภาพโกรธ ปรากฏ...ก็รู้ "ลักษณะ" ของสภาพโกรธ ขณะนั้น ค่ะ

ควร ระลึก ตรง "ลักษณะ ของ ความโกรธ"ต้องเป็น "ขณะนั้น" ด้วยนะคะและ ยังไม่ต้องไปสนใจ ว่า...อะไร เป็นรูปถ้าขณะนั้น...รูป ไม่ปรากฏ....แต่ "ความโกรธ" (เจตสิก) ปรากฏ.
.
อีกอย่างครับ ตอนที่คิดนึก เรื่องราวที่คิดนึกก็เป็นนาม ตัวรู้เรื่องราวที่คิดนึกก็เป็นนาม ผมเลยไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นรูป กล่าวคือ ผมไม่เห็นและไม่รู้จักรูป ในขณะที่รู้ทางมโนทวารครับผม ขอบคุณครับ

.
ระลึก รู้ ตรง "ลักษณะ" ที่กำลังปรากฏ ขณะนั้น.....โดยไม่ต้องสนใจ "ชื่อ" ถ้ารู้จัก "ชื่อ" ว่า นี่คือนาม นี่คือ รูป...แต่ ไม่รู้ "ลักษณะ" ก็จะไม่ "เข้าใจ"
สิ่งใด ที่กำลังปรากฏ ก็ ระลึกรู้ สิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้น ทันที.
สิ่งที่ไม่ปรากฏ...ก็รู้ไม่ได้และไม่มีทางรู้ได้...เพราะ ไม่ปรากฏ นั่นเอง.
ดังนั้น...ค่อยๆ ระลึก ตรง "ลักษณะ" ของ สิ่งที่ กำลังปรากฏ เท่านั้น

ไม่ใช่สงสัยว่า "ชื่อ" อะไร
แต่ไม่เข้าใจ "ลักษณะ"ของสิ่งที่กำลังปรากฏ.!

.ที่สำคัญ คือการเรียน การศึกษา "ชื่อของธรรมประเภทต่างๆ "จุดประสงค์ เพื่อ "เข้าใจ" ตรง "ลักษณะ" ของธรรมประเภทนั้นๆ
และ
สิ่งใด กำลัง ปรากฏ ก็ รู้ สิ่งนั้น แต่ สิ่งใด ไม่ปรากฏ ก็ รู้ ไม่ได้.

สิ่งที่ "สติ"ระลึก รู้ ได้จะต้อง มี "ลักษณะ"


เรื่องราว และ บัญญัติ (สมมติ) ไม่มีจริง
เพราะว่าเรื่องราว-บัญญัติ-ชื่อไม่มี "ลักษณะ"

แต่ จิต เจตสิก รูป (นิพพาน) มี "ลักษณะ"
.....................................

ขออนุโมทนาค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ups
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ประสาน
วันที่ 25 มิ.ย. 2552
ขออนุญาตสนทนาธรรมด้วยครับ เป็นไปได้ไหมที่นามกลายเป็นรูป คือสภาพโกรธที่ปรากฎขณะแรกเป็นนาม หลังจากนี้แล้วเป็นรูป เพราะเป็นตัวที่ถูกรู้ ด้วยนาม (รู้สภาพโกรธปรากฎอีก) เช่น ขณะที่ผมกำลังรับรู้จากเสียงของอาจารย์ ตัวจิตที่อยู่ในตัวผมที่รับรู้เป็นนาม แต่ถ้าผมถามคำถามอาจารย์เมื่อไร ผมกลายเป็นรูปเพราะขณะนั้นผมเป็นตัวถูกรู้ ไม่ทราบอุปมาเช่นนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิหรือเปล่า ขอบคุณครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
bom8813
วันที่ 26 มิ.ย. 2552

ขอบคุณมากครับ สำหรับคำอธิบายของพี่ๆ ทุกท่านที่ผ่านไป และที่จะมีต่อๆ มา ซึ่งทำ

ให้ผมมีความเข้าใจมากขึ้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
prachern.s
วันที่ 26 มิ.ย. 2552

เรียนความเห็นที่ ๑๐ ครับ

ตามหลักพระธรรมแสดงว่า จิต เจตสิก เป็นนามธรรม รูป เป็นรูปธรรม

ไม่ว่าจิต เจตสิก จะเกิดที่ไหนก็ตาม จิต เจตสิก ก็เป็นนามธรรม ไม่เปลี่ยน

ส่วน รูป ก็เช่นกัน ไม่มีการกลายเป็นนามได้ อนึ่งสภาพที่รู้อารมณ์ คือ จิต

และเจตสิก ส่วนรูปธรรม ไม่รู้อะไร จิต เจตสิก รู้อารมณ์และเป็นอารมณ์ได้

รูปไม่รู้อารมณ์ เป็นอารมณ์ คือ ถูกจิตรู้ได้ มิได้หมายความว่าตัวถูกรู้จะเป็นรูป

เพียงอย่างเดียว เป็นนามธรรมก็ได้ เป็นรูปธรรมก็ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
saifon.p
วันที่ 26 มิ.ย. 2552

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
narong.p
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

นิพพานเป็นนามธรรมแต่ไม่รู้อารมณ์ เพราะไม่ใช่สภาพรู้ ครับ

นามธรรมที่เป็นสภาพรู้คือ จิตและเจตสิก

ส่วนนิพพานเป็นนามธรรม เพราะไม่ใช่รูปธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
พุทธรักษา
วันที่ 28 มิ.ย. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12746 ความคิดเห็นที่ 14 โดย narong.p

นิพพานเป็นนามธรรมแต่ไม่รู้อารมณ์ เพราะไม่ใช่สภาพรู้ ครับ

นามธรรมที่เป็นสภาพรู้คือ จิตและเจตสิก

ส่วนนิพพานเป็นนามธรรม เพราะไม่ใช่รูปธรรม ครับ

ขออนุโมทนา


ขอขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนา คุณ narong.p ค่ะ.
.
.
สืบเนื่องจาก คห. ที่ ๘....มีความคลาดเคลื่อน เรื่อง "นิพพานปรมัตถ์"
จึงขออนุญาตแก้ไข ตามที่ท่านกรุณาแนะนำ ดังนี้ค่ะ
.
.
.นิพพานปรมัตถ์

นิ (ไม่มี , ออก ) + วาน (เครื่องร้อยรัด , ตัณหา) + ปรมตฺถ (สิ่งที่มีจริง) สิ่งที่มีจริงคือสภาพที่ออกจากตัณหา หมายถึง สภาพนามธรรมที่ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ เจตสิก เป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์

เป็นโลกุตตรธรรมที่ไม่มีการเกิดดับ จึงไม่มีอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นกาลวิมุติ คือ พ้นจากกาลเวลา โดยปริยายแห่งเหตุ นิพพานมี ๒ อย่าง คือ ความสิ้นกิเลสโดยที่ยังมีขันธ์เหลืออยู่อย่างหนึ่ง (สอุปาทิเสสนิพพาน) และความสิ้นกิเลสพร้อมทั้งสิ้นขันธ์อีกอย่างหนึ่ง เป็นการปรินิพพานของพระอรหันต์ (อนุปาทิเสสนิพพาน)
ข้อมูลจาก "ธัมมนิทเทส"โดย บ้านธัมมะ

.................................

ขออภัยในความผิดพลาดค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
choonj
วันที่ 1 ก.ค. 2552

สิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถ์ ถ้าไม่ใช่รูปก็เป็นนาม คือรูปเป็นรูปปรมัตถ์ นามที่เป็นนามปรมัตถ์ก็คือ จิต เจตสิก นิพพาน รู้โกรธเป็นนามเพราะเป็นธาตุรู้ โกรธก็เป็นนามเพราะเป็นโทสเจตสิก บัญญัติไม่มีจริงจึงไม่ใช่รูปหรือนาม ดังนั้นจีงมี รูป นาม และบัญญัติ ที่นี้เมื่อจิตเกิดต้องมีอารมณ์ และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์ของจิตได้ รูป นามบัญญัติจึงเป็นอารมณ์ของจิตได้ คำถามที่ว่าเมื่อรู้โกรธอะไรเป็นรูป จึงเป็นคำถามที่ขัดแย้งในตัวมันเอง เพราะขณะนั้นมีบัญญัติที่โกรธเป็นอารมณ์ และบัญญัติก็ไม่ใช่ทั้งรูปหรือนาม แต่เป็นอารมณ์ของจิตคือโกรธ ที่นี้ถ้าเห็นแล้วโกรธ ก็ต่างกับรู้โกรธที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะเห็นเป็นอารมณ์ปรมัตถ์มีสีเป็นรูป ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
anong55
วันที่ 4 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านที่เกื้อกูลให้ความกระจ่าง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ