ได้น้อยไป

 
ball
วันที่  24 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12755
อ่าน  1,003

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ พื้นฐานพระอภิธรรมอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑

กุล คุณอรวรรณจะตอบไหมค่ะ ว่าขณะนี้คิดอะไร

อร. คือจริงๆ พอท่านอาจารย์บอกว่าเห็นแล้วคิด ได้ยินแล้วคิด ก็

เป็นเหมือนอย่างท่านอาจารย์พูด ก็คิดไปไกลแล้ว กำลังจะเรียนถาม ท่านอาจารย์หลายปัญหาก็คิดว่าจะถามอะไร ไม่ได้คิดว่าจริงๆ แล้วเห็น แล้วก็คิดจึงจะทราบว่าเป็นอะไร ก็ข้ามตรงนั้นไป ก็จะกลับมาถามปัญหา ที่อาจารย์กล่าวว่าในการศึกษาธรรมนี้ ต้องตรง แล้วละเอียดจึงจะได้ สาระจากพระธรรม ซึ่งตรงนี้เมื่อสำรวจตัวเองก็เหมือนจะขาดตรงนี้ ขาด ความตรงและละเอียด ก็เลยรู้สึกว่าจะได้สาระจากพระธรรมน้อยไปก็ได้

อ.จ. ก็ไม่ต้องไปสนใจ เรื่องได้ไม่ได้ แต่ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง มิฉะนั้นแล้วจะไปเข้าใจอะไรที่ไม่ได้ฟัง ก็คือคิดเอง คิดเองจะคิดอย่าง

ที่ได้เคยฟังไหม แต่เมื่อฟังแล้วไม่ลืม สัญญาที่มั่นคงคือ จำแล้วกำลังมี

สิ่งที่กำลังปรากฎ แล้วก็รู้ว่าเป็นธรรม เกิดแล้วจึงปรากฎ แล้วก็ดับไปแล้ว

ด้วย เพราะว่าสภาพธรรมตลอดวันก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมด

แต่ละลักษณะ ฟังอย่างนี้แล้วจะรู้ได้เลยค่ะเป็นสภาพธรรมทั้งนั้นทุกขณะ

ก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นสภาพธรรม เพราะฉะนั้นการฟังก็คือฟังโดยความเป็นผู้ที่

ละเอียดและรู้ว่า เมื่อไรที่เริ่มเข้าใจคือระลึกได้ว่าเป็นธรรม นั่นก็คือ เริ่ม

ที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพิ่มขึ้นๆ จนสามารถที่จะละคลายการที่คิดแต่เรื่อง

อื่นหรือคิดแต่เรื่องคำหรือคิดเรื่องอะไร แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมจบแล้ว

ไม่ต้องฟังอีก เป็นยังไงคะ หรือว่าก็ต้องฟังอย่างนี้แหละไม่ใช่ฟังอย่าง อื่น
เพราะว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฎเพื่อที่จะเตือนทุกคนที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และสะสมมาที่วันหนึ่งๆ ก็จะไม่ระลึกถึงธรรม จนกว่าจะได้ฟัง ธรรม และเมื่อฟังแล้วก็ยังต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ที่จะต้องเข้าใจให้ตรงว่า ธรรมเป็นอย่างนี้และการรู้การเข้าใจธรรม จากการฟังเป็นอย่างหนึ่งซึ่ง จะมั่นคงจนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฎ จะใช้คำว่า เริ่มคิดถึงหรือเริ่มรู้เริ่มเข้าใจลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฎก็ได้ ที ละเล็ก ทีละน้อย

อร. เมื่อฟังมากๆ แล้วทุกอย่างเป็นธรรม และมีลักษณะเฉพาะเป็นของ

ตน เช่น ในปัจจุบันนี้ก็คือ เห็นสิ่งที่ปรากฎทางตาได้ยิน คิดนึกมีแข็ง กระทบสัมผัส การที่จะเข้าถึงลักษณะ ก็ต้องใส่ใจสังเกตลักษณะที่ฟังว่า ธรรมเป็นยังไงแต่ละลักษณะนั่นแหละ

อ.จ. แล้วเป็นเราหรือเปล่า

อร. คำถามก็ดูเหมือนจะแยกไม่ออกระหว่างเป็นระลึก หรือเป็นตัวเรา

ที่ไปจดจ้อง

อ.จ. แล้วเราเรียนมาว่ายังไง

อร. ก็สติที่จะระลึกก็เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยก็เกิด

อ.จ. เพราะฉะนั้นกว่าจะเริ่มเข้าใจขึ้นตรงตามที่ได้เรียนตามที่ได้เข้าใจ

ก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองมาจากการฟังด้วยความ อดทน วิริยะ โดยไม่ใช่เรา

เพียรที่จะฟังต่อไปไม่ใช่ฟังเรื่องอื่น ฟังให้เข้าใจ เห็นไหมคะ เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎ ก็จะเห็นได้นะคะว่า ปัญญามีหลายระดับ ขั้น แม้ฟังแล้วเกิดนึกที่จะรู้ที่จะสนใจ ใส่ใจในลักษณะของธรรมที่กำลัง ปรากฎ แต่ขณะนั้นก็มีความจงใจด้วยเพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ปัญญาเพียงจากขั้นการฟังเข้าใจ และเริ่มใช้คำว่าเริ่มปรารถแล้วปรารถ อีกเพราะว่าเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ แน่นอน เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่าจากการที่ฟังมานาน ขณะใดก็ตามที่เริ่ม ที่จะใส่ใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฎ แค่เริ่ม

เพราะฉะนั้นจะให้เป็นความรู้ชัดมากมายเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้น

จะเห็นได้นะคะ วันหนึ่งๆ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด จะไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง

ในชีวิตจริงๆ ลองทบทวนไปถึงเมื่อเช้าผ่านไปแล้ว ทั้ง ทางตา ทางหู

ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อะไรปรากฎบ้างคะกลับย้อนไปจะไม่

รู้เลย เหมือนขณะนี้คะอะไรปรากฎบ้าง ถ้ารู้จริงๆ นะคะแข็งมีปรากฎบ้าง

ไหมแม้เล็กน้อยเสียงมีปรากฎบ้างไหมคิดนึกมากมายแต่ทั้งหมดก็เหมือน

ว่าหมดไปโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นรู้จริงๆ จะเพิ่มการรู้ลักษณะ

ของสภาพธรรม แต่ละลักษณะเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ด้วยสติสัมปชัญญะ

เพราะฉะนั้นเวลาใดก็ตามที่สภาพธรรมเกิด โดยที่ไม่มีโสภณธรรม ไม่มี

สติเจตสิกเกิดร่วมด้วยสภาพธรรมนั้น เพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็วผ่าน

ไปโดยเหมือนไม่รู้เลย เล็กน้อยมาก สั้นมาก เพราะฉะนั้นสภาพธรรม

ลักษณะปรากฎกับลักษณะที่ไม่ปรากฎ กับสติจึงมีความต่างกัน นี่เป็น

เหตุหนึ่งที่จะเข้าใจว่าขณะไหนสติเกิด และขณะไหนหลงลืมสติแม้อย่าง

นั้นขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เริ่มก็จะน้อยมากคะ เพราะว่าสิ่งที่

สะสมมามากมายมีปัจจัยที่จะเกิดต่ออย่างรวดเร็ว เช่นความจงใจ ความ

ต้องการ ความอยากรู้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ถ้าปัญญาไม่รู้ไม่ละ เพราะ

ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่จะถึงความบริสุทธิ์หมดจดจากทิฏฐิความเห็นผิด

ความติดข้อง ความไม่รู้ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดและ

เป็นเรา ทั้งอัตตานุทิฏฐิและสักกายทิฏฐิได้ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถจะ

รู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ แล้วก็ละเอียดขึ้นด้วย

C-003 25511012-ได้น้อยไป


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sam
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 25 มิ.ย. 2552

อนุโมทนานะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
saifon.p
วันที่ 26 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 26 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุภาพร
วันที่ 17 ก.ค. 2552

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
noynoi
วันที่ 18 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คุณ
วันที่ 18 ก.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ