เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากในชีวิตได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุปัจจัยให้เกิด การได้รับอารมณ์ที่ดี และไม่ดี
สุขกาย และทุกข์กาย ย่อมมาจากเหตุ ซึ่งก็คือ กุศลเหตุ และอกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีตทั้งสิ้น เมื่อมีความเข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรมว่า ทุกอย่างที่เกิด
ขึ้นในชิวิตของเราล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้เรื่องเหตุและผล เมื่อเรามีความเข้าใจปัจจัยต่างๆ มากขึ้น เราก็สามารถเผชิญกับความทุกข์ยาก
ในชีวิตได้ และค่อยๆ อบรมเจริญกุศลทุกประการซึ่งเป็นเหตุที่จะนำไปสู่ผลที่ดี
ขออนุโมทนาค่ะ
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม เช่น ท่านพระสารีบุตรตอนที่ท่านป่วย
ไม่สบายถ่ายเป็นเลือดได้รับทุกข์ทางกายมาก ท่านก็ไม่หวั่นไหวเพราะท่านมีปัญญาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกายเป็นผลของอกุศลกรรม ย่อมเป็นเครื่องเตือนได้เป็น
อย่างดีว่าได้กระทำอกุศลกรรมเอาไว้ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ได้รับผลของอกุศลกรรม ผู้มีปัญญาจึงเข้าใจความจริง ไม่โทษบุคคลใด ดำเนินชีวิตไปในการเจริญกุศลมากขึ้น
แม้จะทุกข์กายและทุกข์ใจก็เป็นธรรมดาของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยจึง
เกิดขึ้น มั่นคงในการเจริญกุศลมากขึ้นและอบรมปัญญาเพื่อเข้าใจความจริง เพื่อดับ-
กิเลสอันเป็นสาเหตุของทุกข์ทั้งปวงครับ
บุคคลพึงรีบขวนขวายในความดี พึงห้ามจิตเสียจากบาป
เพราะว่าเมื่อบุคคลทำความดีช้าอยู่ ใจจะยินดีในบาป.
ถ้าบุรุษพึงทำบาปไซร้ ไม่ควรทำบาปนั้น บ่อยๆ
ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น
เพราะว่าความสั่งสม เป็นเหตุให้เกิดทุกข์.
ถ้าบุรุษพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ
พึงทำความพอใจในบุญนั้น
เพราะว่าความสั่งสมบุญ ทำให้เกิดสุข
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่อกุศลกรรมให้ผล เป็นอกุศลวิบาก ทำให้ได้รับในสิ่งที่ไม่ดี ได้รับทุกข์ประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ในทางตรงกันข้าม ขณะที่กุศลกรรมให้ผล เป็นกุศลวิบาก ทำให้ได้รับในสิ่งที่ดี ได้ความสุขประการต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ตามความเป็นจริงแล้ว หลังอกุศลวิบาก ปัญญาสามารถที่จะเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ หลังกุศลวิบาก โลภะความติดข้องยินดีพอใจ สามารถเกิดขึ้นได้หรือ หลังอกุศลวิบาก โทสะ ความโกรธ ความไม่พอใจ ก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล บุคคลผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมจะไม่หวั่นไหวไม่ว่าจะได้รับอกุศลวิบากหรือกุศลวิบาก กล่าวคือ ถ้าเป็นผู้ได้รับอกุศลวิบาก ก็จะไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด ไม่ขุ่นเคืองใจ ไม่โทษคนอื่น หรือ ถ้าได้รับกุศลวิบาก ก็จะไม่หลงระเริง ไม่เพลิดเพลินไม่มัวเมาไม่ติดข้อง, เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จึงเป็นเครื่องทดสอบกำลังของปัญญาได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ความเข้าใจพระธรรมซึ่งเป็นความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต (มีปัญญา ชื่อว่า มีกำลังใจ) ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ไม่เฉพาะแต่ความทุกข์เท่านั้นค่ะ.....ที่ต้องอดทน
แม้แต่ความสุขก็ต้องอดทน........เพื่อที่จะได้เป็นผู้ไม่ประมาท
ทุกอย่างเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ความทุกข์ยากแม้เกิดขึ้นก็ต้องดับไปทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรม....เกิดแล้วรับผล.ผลของกรรมนั้นสิ้นไปทุกข์ทางใจเกิดจากกิเลสของเราเองหากสะสมปัญญาความทุกข์ยากทางใจ....ก็น้อยลงตามกำลังของปัญญาเหลือแค่ความทุกข์ทางกายเท่านั้น