กายวิญญัติ
ขณะที่โบกมือ พยักหน้า หรือ ขยิบตา เพื่อให้ผู้อื่นรู้ความหมายขณะนั้นเกิดเพราะ
กายวิญญัติเป็นปัจจัย ขอเรียนถามท่านอาจารย์วิทยากรว่า ขณะที่กระพริบตาโดยทั่ว
ไป โดยที่ไม่มีการตั้งใจให้ผู้อื่นรู้ความหมายอะไร และขณะที่หายใจเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ทั้งสองกรณีเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน ไม่ทราบว่ามีกายวิญญัติเป็นปัจจัยด้วย
หรือไม่ค่ะ ถ้าไม่มีเพราะเหตุใดค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
ขณะนั้น ไม่มีกายวิญญัติครับ เพราะไม่มีความประสงค์ให้ผู้อื่นรู้ความหมายอะไร
A. Prachern.s
Coud you please refer the Pali text for Kayavinnatti. I'm sorry that I don't have Thai fonts. I'll try to get Thai fonts and then ask in Thai language.
Thank you for
กายวิญญัติรูป เท่าที่ได้อ่านดูจุดประสงค์ของการอธิบาย น่าจะมุ่งหมายให้ทราบว่ากายและจิต หรือ รูปกับนาม เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่ว่า จะโดย เจตนา หรือไม่ ก็ตามไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า นะครับ
สัตว์บุคคลที่มีชีวิต มีใจครองเมื่อต้องการสื่อความหมายด้วยกาย
จิตจะเป็นสมุฏฐานให้รูปชนิดหนึ่งเกิดเคลื่อนไหวกายให้สื่อความหมาย
เรียกว่ากายวิญญัติรูป เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวที่เป็นหน้าตาหรือท่าทาง
เมื่อแยกเป็นกลาปที่เล็กสุด เมื่อจิตต้องการสื่อความหมาย
รูปจะประกอบด้วยอวินิพโภครูป 8 กับกายวิญญัติรูป 1
และเมื่อร่างกายเคลื่อนไหวเป็นกิริยาท่าทาง
รูปก็จะประกอบด้วย อวินิพโภครูป 8 กายวิญญัติรูป 1 และวิการรูป 3
แต่ถ้าการเคลื่อนไหวไม่ต้องการสื่อความหมายอะไร
รูปจะมีแต่อวินิพโภครูป 8กับวิการรูป 3เกิดร่วม ไม่มีกายวิญญัติรูปเกิดในกลาปนั้นๆ
รูป เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร
การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเพราะจิตเกิดมีวาโยธาตุทำให้กายไหวแล้วก็ดับไป
แล้วก็มีจิตเกิดดับ มีรูปเกิดดับไปตามปัจจัยอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถบังคับบัญชาได้
สัตว์ บุคคล จึงไม่มีจริง
เพราะเป็นเพียงสภาวะของนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น
ขออนุญาตเรียนสอบถามว่า
จิตที่เป็นสมุฎฐานให้เกิดการกระพริบตา การหายใจ การเต้นของหัวใจ และกิริยาอื่นๆ ที่ไม่มีความหมายนั้น เป็นจิตประเภทใดครับ
และจิตเหล่านี้เกิดดับพร้อมกันรูปด้วยหรือไม่ครับ
จิตที่เป็นสมุฎฐานให้เกิดการกระพริบตา การหายใจ เคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ
ในชีวิตประจำวันนั้น ส่วนใหญ่เป็นอกุศลจิต และไม่ได้เกิดดับพร้อมรูปครับ
ที่อาจารย์ประเชิญกรุณาตอบว่าส่วนใหญ่เป็นอกุศลจิตนั้น
เนื่องจากจิตดังกล่าวเป็นโมหมูลจิตใช่ไหมครับ กล่าวคือ จิตที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ หรือถ้ารู้ก็เป็นโลภมูลจิต
แต่หากเป็นกุศลจิตแล้ว หมายความว่า ขณะนั้นมีสติสัมปชัญญะประกอบด้วย
ส่วนการเต้นของหัวใจ นั้นไม่น่าจะมีกุศลจิตเป็นสมุฎฐานได้นะ ใช่หรือไม่ครับ
รบกวนเรียนถามอีกนิดนะครับ
^
^
ขณะที่หลับสนิท (จิตเป็นชาติวิบาก) และในขณะที่กุศลจิตเกิด ทั้งที่เป็นไปกับ
มหากุศลหรือฌาน ขณะนั้นก็ยังมีการเต้นของหัวใจและลมหายใจเข้าออกอยู่ใช่มั้ยคะ
การหายใจเข้าออกในแต่ละครั้งของชิวิตปกติ ไม่ว่าจะเป็นใจเร่งรีบหรือใจรวยริน
ไม่ว่าในขณะหลับหรือตื่น มีทั้งจิตเกิดดับและรูปเกิดดับมากมาย (อย่าคิดจะไปนับ)
กัมมชรูป เป็นที่ก่อเกิดประสาทของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ทำให้เราได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบถูกต้องสัมผัสต่างๆ
และยังเป็นที่ก่อเกิดรูปที่กำหนดความเป็นชายหญิง
และเป็นที่ก่อเกิดรูปที่เรียกว่าหทยรูปที่เป็นที่เกิดของจิต
และก็ยังเป็นที่ก่อเกิดรูปที่เรียกว่าชีวิตินทริยรูปทำให้รูปที่ประกอบกันยังไม่ตาย
ตราบใดที่ยังมีกัมมชรูปเกิดประกอบในรูปร่างกายทั้งหมด
หลับไปแล้วก็ยังไม่ถึงแก่กรรม ต้องตื่นขึ้นมากระทำกรรมและรับผลของกรรม
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีรูปที่ก่อเกิดจาก จิตตชรูป ทำให้เราเคลื่อนไหวและพูดจา
และมี อุตุชรูป เกิดเป็นธาตุไฟแทรกซึมไปทั่วรูปร่างกายเพื่อส่งเสริมให้รูปทั้งหลาย
มีพลังงานในการรักษากายไว้ไม่ให้เจ็บป่วยหมดสภาพไป
และยังมี อาหารชรูป คือรูปทีเป็นอาหารที่เรากินเข้าไป เสริมให้รูปที่เกิดอื่นๆ ทั้งหมด
มีการเกิดดับหมุนเวียนกันทำงานต่อเนื่องได้ จะขาดรูปจากสมุฏฐานใดไปไม่ได้
นอกจากรูปเกิดดับมากมาย จิตก็เกิดดับมากมาย (อย่าคิดจะไปนับ)
ดังนั้น ขณะมีลมหายใจ เป็นได้ทั้งกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต และฌานจิต
ที่ท่านว่าในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่เป็นอกุศลจิตนั้นก็เพราะกุศลจิตเกิดน้อยมาก
และที่ว่าไม่ได้เกิดดับพร้อมรูปนั้น ก็คือรูปก็ทยอยกันเกิดดับไป แต่จิตเกิดดับทีละขณะ
ถ้าจิตดวงหนึ่งเกิดพร้อมรูปๆ หนึ่ง จิตย่อมดับไปก่อนกว่ารูปจะดับ