คำเตือนจาก ท่านอาจารย์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ถามท่านอาจารย์ว่า ในชีวิตประจำวันมีรูปที่รู้ได้ เพียง ๗ รูปเท่านั้น แต่ผู้มีปัญญามากสามารถรู้ปสาทรูปได้ จึงกราบเรียนถามว่า ต้องปัญญาขั้นไหนจึงจะรู้ปสาทรูปได้ คำตอบที่ได้ เป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่ง หาก ท่านอาจารย์ตอบว่าปัญญาขั้นนี้ ปัญญาขั้นนั้น พอเราได้คำตอบ เราก็พอใจ อีกไม่นานเราก็ลืม ลืมคำตอบที่เราอยากได้ แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ ซึ่งไม่มีวันลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ รู้ความจริงทุกๆ อย่าง พระอริยบุคคล... ผู้มีปัญญาที่ได้สะสมมาเมื่อมีปัจจัยให้รู้ปสาทรูป ผู้นั้นก็รู้ เอง แล้วเราล่ะสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎอยู่ขณะนี้ไม่ว่า ทางตา ทางหู ... และทางใจ ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ปสาทรูปได้อย่างไร จึงควรอบรมเจริญ ปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อปัญญา ถึงวาระที่สมบูรณ์ วันไหนก็วันนั้น... เพราะฉะนั้น "เลิกหวัง " แต่ให้ค่อยๆ เข้าใจ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ฟังแล้วให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังซึ่งเป็นหนทางเดียว... ฟังเรื่องสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ จนกว่าจะรู้ว่า เป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา ไม่ว่า ทางตา ทางหู .... และทางใจ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สภาพธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งตามความเป็นจริงนั้น สภาพ ธรรมยังแบ่งเป็นส่วนหยาบและละเอียด สามารถปรากฎให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน และ ที่ไม่ปรากฎให้รู้ได้ทั่วไปเพราะต้องรู้ด้วยปัญญาระดับสูง ดังนั้นสภาพธรรมขณะนี้อะไร กำลังปรากฎให้รู้ เห็น ได้ยิน เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น สามารถปรากฎให้รู้ในชีวิต ประจำวันการอบรมปัญญาเพื่อรู้ความจริง คือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลัง ปรากฏ ไม่ใช่เป็นการพยายามไปรู้ในสิ่งที่ไม่ปรากฎ
รูป เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่รู้อะไรเลย การอบรมปัญญาเพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรมจึง เป็นการเกิดของสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ โดยไม่เลือกว่าเป็นสภาพ ธรรมใด เพราะสติเป็นอนัตตา จะเกิดรู้รูปหรือนามอะไรก็ได้ แต่สำคัญคือที่ปรากฎให้รู้ ได้ในชีวิตประจำวัน รูปบางอย่างไม่ปรากฎให้รู้ก็ไม่สามารถรู้ได้ จึงเป็นวิสัยของปัญญา ที่ต่างระดับกันไป ผู้มีปัญญามากย่อมสามารถรู้ความละเอียดของรูปนามแต่ละอย่างตาม ความเป็นจริงได้ครับ แต่สำหรับผู้เริ่มศึกษาจึงควรรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะ นี้ครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
โดยหลักการท่านว่าไว้ว่า ในชีวิตประจำวันมีรูปที่รู้ได้เพียง ๗ รูปเท่านั้น
เมื่อเราได้ฟังอย่างนั้นและรู้ว่า ทั้งเจ็ดรูปนั้นคืออะไร เราก็นึกว่า...........
เรารู้รูปทั้งเจ็ดรูปนั้นแล้ว
ลองกลับมาทบทวนดูว่าเรารู้รูปทั้งเจ็ดนั้นจริงๆ หรือเปล่า
หรือว่าเพียงได้ยินว่าเจ็ดรูปนั้นคืออะไร ตอนนี้ยังจำชื่อได้
ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ได้ง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ........
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว.....เพราะฉะนั้น "เลิกหวัง "
เปลี่ยนจากหวัง มาเป็นเลิกหวัง
ไม่แน่นะ อาจจะมายึดวิธี เลิกหวัง เข้าให้อีกก็ได้
และการเลิกหวัง ก็เป็นความหวังของเราต่อไป
ขอสนทนาด้วยค่ะ คุณใจรวยริน
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว.....เพราะฉะนั้น "เลิกหวัง "
เปลี่ยนจากหวัง มาเป็นเลิกหวัง
ไม่แน่นะ อาจจะมายึดวิธี เลิกหวัง เข้าให้อีกก็ได้
และการเลิกหวัง ก็เป็นความหวังของเราต่อไป
การเลิกหวัง ก็เป็นความหวังของเราต่อไป... ก็ยังคงเป็นอกุศลต่อไป...
จริงๆ แล้ว โลภะ ไม่เคยทิ้งห่างจากเราเลย...เพราะยังมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง
หนทางเดียว...คือค่อยๆ อบรมความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฎในขณะ
นี้ ต้องมีความอดทนจริงๆ ที่จะพิจารณาลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ
ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ใช่จำแต่ชื่อ... หรือนึกชื่อ...
ขออนุโมทนาค่ะ
โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าเห็นด้วยหลายประเด็น ที่ ท่าน "ใจรวยริน" กรุณาแนะนำ.แม้ทุกครั้ง ท่านจะตอบ แบบต้องคิด
ต้องขออภัย ที่ต้องถามบ้าง ในกรณีที่ ท่าน "ใจรวยริน" ตอบแบบ "ปริศนาธรรม"กรุณาอย่าเพิ่งรำคาญนะคะเพราะถาม มิใช่เพื่ออื่น แต่เพื่อ เข้าใจ ว่า ไม่เข้าใจผิด
ปล. ขออนุโมทนาค่ะ ที่แม้ ท่านจะ "ใจรวยริน" แต่ ท่าน ก็ ยังหายใจอยู่และคอยแนะนำให้ได้ คิด ในสิ่งที่น่าคิด เพียงแต่ ที่ ท่าน ว่า
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว เพราะฉะนั้น "เลิกหวัง"
เปลี่ยนจากหวัง มาเป็นเลิกหวัง ไม่แน่นะ อาจจะมายึดวิธี เลิกหวัง เข้าให้อีกก็ได้ และการเลิกหวัง ก็เป็นความหวังของเราต่อไป ท่าน คงไม่ได้หมายความว่า "บังคับบัญชาได้"
ตราบใดที่ยังเป็นเราก็ยังคงหวัง......
เมื่อคิดว่าการเลิกหวังเป็นสิ่งควรทำก็ติดในการเลิกหวัง การเลิกหวังกลายเป็นความหวังใหม่ เมื่อยังเป็นเรา ยื่นมือหนึ่งให้ ทันใดอีกมือหนึ่งก็คว้า บางทีคิดว่าเลิกหวัง แต่อาจจะไม่ได้เลิกจริง ก็ติดทั้งหวังและเลิกหวัง สมัยโบราณ นายพรานล่าลิงด้วยการเอาตัง (ยางไม้เหนียว) ไปทาไว้ตามป่า ลิงเห็นตัง ด้วยความไม่รู้จึงเอามือข้างหนึ่งไปจับตัง มือก็ติดตัง ด้วยความต้องการจะเอามือออกจากตัง ก็เอามืออีกข้างหนึ่งไปดันกับดักที่ทาด้วยตัง มือลิงติดตังไปทั้งสองข้าง น่าอนาถในความเป็นลิง จึงเอาเท้ายัน และดิ้นรน ตามประสาลิงที่ไม่รู้ว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งติดเพราะตามตัวมีขนเยอะ แล้ว ลิงติดตัง นอนหายใจรวยริน รอให้นายพรานเอาหอกมาแทงอย่างไม่มีทางดิ้นรน ความไม่รู้นั่นเองต้นเหตุ ทำให้ลิงติดตัง นอนหายใจรวยริน รอความตาย มีเราไปบังคับบัญชาอะไรไม่ได้ เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย
"คำเตือน" จากท่านผู้รู้ หรือแม้แต่จากเพื่อนสหายธรรมด้วยกัน
...หากว่า...
รับฟังด้วยดี ไตร่ตรองถ้วนถี่ ลดทิฏฐิมานะ
ความเข้าใจถูกย่อมมี
น้อย หรือ มาก
ขึ้นอยู่กับระดับขั้นของปัญญา
บังคับบัญชาไม่ได้
และรู้ได้เฉพาะตน
แต่ว่า
ตราบใดยังไม่ใช่พระโสดาบัน
ตราบนั้น...ยังเป็นเรา ยังเข้าใจไม่มั่นคง ยังหลงลืมสติบ่อยๆ
จึงขาดการฟังไม่ได้
ไม่ได้เตือนใคร...หวังเตือนใจตนเองค่ะ
(อ้าว! นั่นไง... ทั้งหวัง ทั้งมีเราอีกจนได้)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ผมเห็นว่า
ถ้าได้ศึกษาและมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับและเมื่อสติเกิดขึ้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ลักษณะใดเป็นลักษณะใดและเริ่มรู้คุณและโทษของธรรมที่ได้เกิดขึ้นนั้น
หากเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมแล้ว จะหวังหรือไม่หวังถ้าปรากฎขึ้นผู้มีปัญญาย่อมรู้ลักษณะ คุณและโทษเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วความไม่รู้ก็จะลดลง ตามเหตุปัจจัย
เพียงเป็นผู้ที่ตรง และศึกษาเทียบเคียง