รู้ความจริงของจิต
ความจริงของจิตตามหลักพระธรรมก็คือ จิตเป็นปรมัตถธรรม จิตเป็นสังขารธรรมจิตเป็นธัมมะประเภทหนึ่ง จิตเป็นวิญญาณขันธ์ จิตเป็นนามธรรม จิตไม่เที่ยงจิตเป็นทุกข์ จิตเป็นอนัตตา จิตไม่ใช่สัตว์ บุคคล ความจริงของจิตเป็นอย่างนี้พระผู้มีพระภาคและพระอริยสาวก ท่านรู้ความจริงของจิตตามความเป็นจริง ท่านจึงพ้นจากทุกข์ได้ ดังนั้น ผู้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ า ย่อมจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจจิตตามความเป็นจริง จึงชื่อว่าเป็นผู้รู้ความจริงของจิตครับ
"รู้ความจริงของจิต" ต้องรู้ในขณะที่จิตกำลังปรากฎ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ
จิตมี ๘๙ ประเภท โดยพิศดาร ๑๒๑ ประเภท แต่ละประเภทก็แตกต่างกันไป เช่นจิตเห็น ไม่ใช่จิตได้ยิน ต่างประเภทกัน รู้ความจริงของจิตคือรู้ว่าจิตแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร ด้วยหน้าที่กิจ ด้วยอารมณ์ ด้วยนัย ฯลฯ
การที่จะรู้ ความจริงของจิต จะขาดการฟัง "เรื่องของจิต" ก่อนไม่ได้ จะรู้ความจริงของจิตได้ ก็โดยอาศัยการฟัง การศึกษา "เรื่องของจิต" จากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้โดยละเอียดโดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้สาวกผู้ฟังได้ค่อยๆ พิจารณา ไตร่ตรองตาม อย่างมีเหตุผล แล้วสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง จนกว่าจะมีความมั่นคงเพิ่มขึ้นตามลำดับ....ในความเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา...เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฯลฯ
เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ในความเป็นจริงของสภาพธรรมต่างๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเหตุสมควรแก่ผล ก็จะเป็นปัจจัยให้ระลึกได้ในขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ไม่ว่าสภาพธรรมนั้นจะเป็นจิต / เจตสิก หรือ รูปก็ตาม
ที่สำคัญคือต้องเป็นผู้ตรง โดยรู้ว่า....ขณะนี้เพิ่งเริ่มฟัง เพิ่งเริ่มมีความเข้าใจในขั้นของการฟัง ปัญญาขั้นฟัง ฟังเรื่องของจิต แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้ตัวจริงของจิตเพราะตัวจริงของจิต ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่คำ แต่จิตกำลังมีในขณะนี้ ขณะที่กำลังเห็น...เป็นจิต...รู้ตัวจริงของจิตที่เห็นหรือยัง?...รวมทั้งขณะที่ได้ยิน....กระทบสัมผัส ...คิดนึกก็เป็นจิตๆ ทุกขณะที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว....แต่ไม่รู้ ที่จะรู้ได้...ต้องอาศัยการเจริญขึ้นของปัญญาอีกมาก...อีกระดับหนึ่ง....จึงจะสามารถรู้ความจริงของจิตได้ และปัญญาในระดับนั้นก็จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาจากปัญญาขั้นฟังด้วย..ขาดกันไม่ได้ครับ