ไม่ควรแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรพร่ำเพรื่อจริงหรือ
ก่อนอื่นควรเข้าใจคำเหล่านี้ก่อนว่าหมายถึงอะไร คือ เมตตา แผ่เมตตา และเจ้ากรรมนายเวร ถ้าเข้าใจพระธรรมและความหมายของคำเหล่านี้ ปัญหาที่ท่านถามมาก็จะไม่มี หรือแม้ปัญหาอื่นๆ ก็จะได้รับคำตอบด้วยเช่นกันครับขอเชิญคลิกอ่าน ..
การแผ่เมตตา.... เริ่มเมตตาจากทีละบุคคล
เมตตาแท้ และเมตตาเทียม เจ้ากรรมนายเวรมีจริงหรือไม่
การให้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนค่ะ
แต่ก่อนให้ ควรรู้มั้ยค่ะว่า.........
สิ่งนั้นคืออะไร?
และผู้รับคือใคร?
เพื่อการให้ที่สมบูรณ์และเป็นประโยชน์จริงๆ ค่ะ
การให้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนค่ะ
แต่ก่อนให้ ควรรู้มั้ยค่ะว่า.........
สิ่งนั้นคืออะไร?
และผู้รับคือใคร?
เพื่อการให้ที่สมบูรณ์และเป็นประโยชน์จริงๆ ค่ะ
ขอสนทนาด้วยคน นะคะ.!
คุณไตรฯ จะช่วยกรุณาขยายความซักนิดได้มั้ยคะ ว่า
การให้ ที่ สมบูรณ์ และ เป็นประโยชน์ จริงๆ น่ะ
หมายความว่ายังไงคะ.?
^
^
การให้โดยไม่มีผู้รับ........การให้นั้นจะสมบูรณ์ได้มั้ยค่ะ?
และถ้าให้สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์.....สิ่งที่ผู้ให้เองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร?
ยังขวนขวายที่จะให้ต่อไปมั้ยค่ะ?
จะให้อะไรก็ต้องรู้ว่ามีอยู่หรือเปล่า จะให้เงินก็ต้องมีเงินจึงให้ได้ จะแผ่เมตตาก็ต้องรู้ว่ามีเมตตาหรือเปล่า แล้วเมตตามีได้อย่างไร เมตตาคือความเป็นมิตร ไม่ใช่หวังดีต่อคนๆ นี้แล้วจะมีเมตตาเสมอไป แล้วผู้รับ ตามความเป็นจริงแล้วรับได้หรือเปล่าแผ่เมตตาไปให้กบ กบรับได้ไหม เมื่อไม่รู้ ไม่มีเมตตาแล้ว ยังจะแผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรแถมยังไม่ควรทำพร่ำเพร่ออีก เป็นไปได้ไหม ครับ
^
^
การให้โดยไม่มีผู้รับ........การให้นั้นจะสมบูรณ์ได้มั้ยค่ะ?
และถ้าให้สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์.....สิ่งที่ผู้ให้เองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร?
ยังขวนขวายที่จะให้ต่อไปมั้ยค่ะ?
ขอขอบพระคุณค่ะ.
ขออนุญาต นำข้อความของท่าน ไปสนทนาต่อ เป็นกระทู้ใหม่นะคะ
เพราะยังไม่เข้าใจ เรื่องการรับ-การให้....ที่สมบูรณ์ น่ะค่ะ.
ปล.
เนื่องจาก ความเห็นของท่าน...สะดุดใจข้าพเจ้า ในประเด็นอื่น น่ะค่ะ.
รบกวนหน่อยนะคะ.
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ.
ถ้าเข้าใจ "เรื่องของกรรม" จริงๆ จะไม่โทษใครเลย.!
(ใคร=เจ้ากรรมนายเวร=ไม่มีจริง เป็นเพียงสิ่งที่คิดว่ามี แต่ไม่มีจริง.)
เพราะเหตุว่า ไม่มีใคร.!มีแต่ จิต เจตสิก รูป ซึ่งต่างทำกิจของตนๆ เป็น กรรม บ้าง เป็น ผลของกรรม บ้างเป็นต้น.หมายความว่า
เพราะยังมีกรรม (เจตนาเจตสิก) ทั้ง กุศลกรรม และ อกุศลกรรมจึงมีการกระทำ คือ กรรม ทั้งกุศลกรรม และ อกุศลกรรม.
เมื่อเป็น "กรรม" กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม ได้กระทำสำเร็จไปแล้ว ก็ ต้องได้รับ "ผลของกรรม" (วิบากจิต)
ถ้าเป็นอกุศลกรรม
ผลของกรรม ต้องเป็นอกุศลวิบากจิต.
ถ้าเป็นกุศลกรรม
ผลของกรรม ต้องเป็น กุศลวิบากจิต.
ดังนั้น
เมื่อกล่าวโดยปรมัตถ์ (สัจจะ-ธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง)
ในชีวิตประจำวัน มีแต่ จิต เจตสิก รูปไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ
แล้ว เจ้ากรรมนายเวร....คืออะไร.?
ในเมื่อไม่ใช่ จิต เจตสิก รูปไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน.!
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอเสริมความเห็นที่ ๑๑ เรียนความเห็นที่ ๙ ,๑๐
ขออนุโมทนาในความเห็นถูกของท่าน ส่วนการกระทำสิ่งใดโดยขาดเหตุผล
ก็จะเข้าข่ายงมงาย ซึ่งจะสะสมเป็นอุปนิสัยต่อไป แต่ไม่มีโทษมากเหมือนอกุศลกรรมสำหรับตัวอย่างใน คห.๑๐ ถูกต้องแล้วครับ เป็นผลของอกุศลกรรมในอดีต ซึ่งไม่เกี่ยว
กับเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนเลย
ขณะนี้กำลังเห็น เป็นผลของกรรม เจ้ากรรมนายเวรไม่ได้ทำให้เห็น
ขณะได้ยินเป็นผลของกรรม กรรมของใครทีทำ?ขณะที่เกิดเป็นผลของกรรม ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรทำให้เกิด
ไม่มีใครบันดาล มีแต่ธรรมทำหน้าที่เมตตาเพื่อหวังดี เพื่อประโยชน์ผู้อื่น
ไม่ใช่เมตตาเพื่อจะแก้กรรม กรรมจะแก้ได้ก็เมื่อไม่เกิดอีกเลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ว่าเรามีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็น
กำเนิด มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ จะทำดีหรือทำชั่วก็เป็นผู้รับผลแห่งกรรม
นั้น ตามความเป็นจริงแล้วเจ้ากรรมนายเวรไม่มี เราจะแผ่เมตตาให้กับสิ่งที่ไม่มีไม่ได้ค่ะ
พุทธรักษา ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าเข้าใจ "เรื่องของกรรม" จริงๆ จะไม่โทษใครเลย.!
(ใคร=เจ้ากรรมนายเวร=ไม่มีจริง เป็นเพียงสิ่งที่คิดว่ามี แต่ไม่มีจริง.)
เพราะเหตุว่า ไม่มีใคร.!มีแต่ จิต เจตสิก รูป ซึ่งต่างทำกิจของตนๆ เป็น กรรม บ้าง เป็น ผลของกรรม บ้างเป็นต้น.
^
^
^
ขออนุโมทนาค่ะ
) : (
เจ้ากรรมนายเวรไม่มี
แต่ที่มีแน่นอน คือ มีการกระทำเหตุไว้ ผลจึงได้มี
ชีวิตประจำวันก็เป็นอย่างนี้ตลอด คือ รับผล กับสะสมเหตุ สลับกันไป
นับตั้งแต่ปฏิสนธิ จนถึงขณะที่สิ้นสุดความเป็นอัตภาพหนึ่งๆ ในแต่ละชาติ
จะได้รับกุศลวิบาก หรือ อกุศลวิบาก
จะสะสมกุศลเหตุ หรือ อกุศลเหตุ
ก็แล้วแต่การได้กระทำหรือสะสมมา และการจะขัดเกลาหรือสะสมใหม่ต่อไป ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ