ทำไมทำบาปครั้งเดียว ผลจึงมากมายนัก?
ดิฉันเคยศึกษาเรื่องราวของธรรมะมาบ้าง และที่สนใจมากคือเรื่องกฎแห่งกรรมทำกรรมสิ่งใดไว้ ผลของกรรมนั้นย่อมตามสนอง ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่ว แต่ที่สงสัยคือทำกรรมไว้เพียงครั้งเดียว แต่ผลของกรรมนั้นทำไมจึงมากมายหลายเท่านัก อย่างเช่นนะคะ (ที่เคยอ่านเจอมา) คนที่ฆ่าสัตว์เพียงครั้งเดียว จะต้องไปเกิดในนรกใช้กรรมหลายล้านปี พอขึ้นมาก็ต้องมาถูกฆ่าอีก 500 ชาติ ทำไมมากมายนัก ที่ถามก็เพราะว่าเกิดความกลัว ไม่ทราบว่าฆ่าใครมาแล้วบ้างในอดีตชาติ และชาติปัจจุบันก็เคยฆ่าสัตว์เหมือนกัน และถ้าปัจจุบันเลิกฆ่าสัตว์และตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติธรรม พอที่จะหนีพ้นวิบากกรรมเก่าเหล่านั้นได้บ้างหรือไม่ค่ะ
ควรทราบว่าเรื่องกรรมและวิบากพระพุทธองค์ทรงแสดงตามความจริงที่เป็นคือพระองค์ตรัสรู้ตามเป็นจริงอย่างไร ก็ทรงแสดงตามเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าจะถามว่า เวลาเราปลูกมะม่วงเพียงเม็ดเดียวเมื่อต้นมันโตขึ้นทำไมผลของมันจึงมีมากมายหลายเท่านัก กรรมทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้ คือย่อมมีผลมากกว่าตน ดังนั้น ผู้มีปัญญาท่านจึงเห็นโทษของวัฏฏะอันน่ากลัวนี้ว่า เป็นทุกข์ ไม่น่ายินดี ควรออกไป พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และแสดงพระธรรมเพื่อช่วยให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์นี้ ดังนั้นผู้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนย่อมพ้นจากทุกข์ คือพ้นจากกรรมและวิบากทั้งปวงได้ครับ
ทำบาปครั้งเดียว แต่...อกุศลจิตขณะที่ก่อนฆ่า กำลังฆ่า และฆ่าเสร็จแล้ว
เกิดมากมายนับไม่ถ้วน กรรมจึงวิจิตร กรรมยังไม่หมดก็สามารถให้ผลต่อไป
เกิดตายในนรกอยู่อย่างนั้นจนกว่ากรรมจะหมดสิ้นไป อกุศลจิตเกิดมากมายในขณะฆ่า อกุศลจิตดวงอื่นๆ ก็สามารถให้ผลในชาติถัดๆ ไป ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ถูกฆ่าอีก 500 ชาติ เป็นต้น
นี้เป็นธรรมดาของเรื่องกรรมและผลของกรรม
แต่ที่สำคัญเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ การอบรมปัญญาเพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ ประเสริฐกว่าเพราะสามารถดับเหตุของการรับผลของกรรม
ขณะที่เราทำอกุศลกรรม เช่นการฆ่าสัตว์ ชวนจิตเกิดดับ 7 ขณะ ชวนะดวงที่ 1 ให้
ผลชาตินี้ ชวนะดวงที่ 2 - 6 ให้ผลนับชาติไม่ถ้วน จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
ปรินิพพานไม่เกิดอีกเลย ชวนะดวงที่ 7 ให้ผลชาติหน้า เพราะฉะนั้นเราไม่ประมาทใน
การเจริญกุศลทุกอย่าง และที่สำคัญคือการอบรมปัญญาด้วยการไม่ขาดการฟังธรรมค่ะ
ก่อนอื่นต้องทราบความจริงครับว่า ผู้ที่เป็นปุถุชน เป็นผู้ที่มีความรักตนเองไม่น้อยเลยทีเดียว มากเสียจนไม่รู้ว่ามากแค่ไหน ทุกๆ วันนี้ เราปรารถนาความสุขให้เกิดกับตน ถ้าไม่ได้สุข อย่างน้อยขอเฉยๆ ก็ยังดี แล้วก็กลัว/ไม่ชอบให้ทุกข์เกิด แต่ว่าเราไม่เคยรู้เหตุที่มาของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เช่น สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ กลัว เฉยๆ โลภ โกรธซึ่งเป็นสิ่งที่มีเป็นปกติธรรมดาในชีวิต อาศัยผ่านการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้ม
รส การรู้กระทบสัมผัส และการคิดนึก เมื่อไม่รู้ เราจึงแสวงหาทางหนีจากทุกข์แบบผิดๆ ด้วยความกลัว กลัวเพราะความรักตัว เราถึงเป็นดัง"ผู้ที่ไม่เห็นแสงสว่าง"เพราะไม่รู้หนทางที่จะเจริญปัญญา รู้ความจริงในชีวิตประจำวันว่าทุกสิ่งที่เกิดปรากฏ ก็เพราะมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น และที่สำคัญละเอียดมาก เป็นไปในแต่ละขณะจิตอันแสนสั้น โดยที่ทุกๆ ขณะนั้น " ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนเลย " แม้แต่ในสักขณะจิตเดียวจริงๆ
เพราะฉะนั้น ก็ควรศึกษาพระธรรม เพื่อให้เข้าใจความจริงในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยบรรเทาความกลัว ความสงสัย ความไม่รู้ ความเห็นผิด ความต้องการที่จะปฏิบัติผิด กิเลสต่างๆ จนกระทั่งถึงระดับที่จะสามารถดับความไม่ดีข้างต้นเหล่านี้ได้ทั้งหมด เมื่อเหตุสมควรแก่ผล ด้วยปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความจริงในชีวิต ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม
ถ้าจะไม่เร่งรีบไปปฏิบัติอะไรก่อน แต่หันเข้ามาศึกษาพระธรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าไหมครับ? เรื่องจะพ้นวิบากได้หรือไม่ได้นั้น ยังไม่ควรกังวลครับ เพราะที่จะพ้นวิบากทั้งหมดจริงๆ ได้ ต้องหลังจากขณะจิตสุดท้ายของชีวิตพระอรหันต์ ซึ่งก็ยัง
อีกไกลแสนไกลมาก ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ...สนใจที่จะมีปัญญาไหมครับ? ถ้าสนใจก็ลองฟังธรรมในเว็บไซต์นี้ดูนะครับ อย่าเพิ่งรีบเชื่อทันที แต่ควรที่จะพิจารณาไตร่ตรอง อย่างเป็นเหตุเป็นผล ให้เป็นความเข้าใจของตัวคุณเองด้วย คุณจึงจะได้ประโยชน์จากพระธรรมจริงๆ ครับ
เป็นครั้งแรกที่เข้ามาเยี่ยม ตอนนี้มีทุกข์ยิ่งใหญ่มากค่ะ อยากมีที่ปรึกษา
ท่านใดที่จะชี้แนะก็ช่วยแนะแนวทางด้วยค่ะ
เรียนคุณพรกมล
คุณพรกมลตั้งกระทู้ใหม่ดีมั๊ยคะ เพราะถ้าตั้งกระทู้ใหม่ ผู้เข้าชมกระทู้จะได้ทราบปัญหาของคุณ อาจจะได้ความช่วยเหลือมากมายนะคะ (ดิฉันเองก็รู้น้อย คงยังไม่สามารถให้คำแนะนำได้ดีเท่าที่ควร)
(ที่แนะนำเช่นนี้เพราะเกรงว่าท่านผู้รู้ที่เคยเข้ามาแล้วจะไม่เข้ามาอ่านซ้ำอีก อาจจะพลาดโอกาสในการได้รับคำแนะนำดีๆ นะคะ)