อยากเปิดร้านเคมีภันฑ์ทางการเกษตร จะทำยังไงดีกับยาฆ่าแมลง
ผมคนหนึ่งที่ไม่อยากทำบาป กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่มีพี่ชวนเปิดร้านยาหรือเคมีเกษตร ซึ่งจะมีพวกยาฮอร์โมน ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ผมมาสะดุดตรงยาฆ่าแมลงนี่แหละ ที่ผมอยากทำก็เพราะอยากหาอาชีพส่วนตัวที่อยู่ได้ เลี้ยงครอบครัวได้ อิสระดี ก็ทำนองอาชีพสุจริต เจตนาคือ ไม่อยากสร้างกรรมสร้างเวร และมีข้อห้ามว่าไม่ควรขายยาพิษ เลยคิดหนัก รบกวนผู้รู้แนะนำด้วย มันจะเหมือนคนกินเนื้อหมู แต่ไม่มีเจตนาฆ่าหมูหรือป่าวครับ เพราะยังไงชาวไร่ ชาวนาก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลง มันหลีกไม่ได้จริงๆ
อาชีพต้องห้ามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ ได้แก่๑.ค้าสุรา๒.ค้ามนุษย์๓.ค้ายาพิษ๔.ค้าอาวุธ๕.ค้าสัตว์มีชีวิต
แล้วผมไม่ขายยาฆ่าแมลง แล้วผมจะอยู่รอดมั้ยละเนี่ย เห้ออออ
รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าไม่ขายพวกยาฆ่าแมลงได้จะดี คิดว่าคงไม่ถึงอยู่ไม่รอดหรอกเพราะถ้าขายสินค้าประเภทอื่นๆ ก็พอมีกำไรเลี้ยงชีพอย่างสุจริตได้
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มที่ ..
somkid.tada2....
"....แล้วผมไม่ขายยาฆ่าแมลง แล้วผมจะอยู่รอดมั้ยละเนี่ย เห้ออออ "
รอดชาตินี้แต่ชาติหน้าอาจไม่รอดนะคะ
เรายังต้องเกิดต้องตายอีกหลายชาติ ควรมองการณ์ไกลและไม่ควรประมาทค่ะ
สำคัญที่ปัญญา ในเรื่องของศีลก็เช่นกันศีลมีที่สุดเพราะลาภ อาศัยเพราะเหตุเงินทองก็ล่วงศีลศีลมีที่สุดเพราะญาติ เพราะเหตุแห่งญาติก็ยอมล่วงศีลศีลมีที่สุดเพราะอวัยวะ เพื่อรักษาอวัยวะก็ยอมล่วงศีลศีลมีที่สุดเพราะชีวิต เพื่อรักษาชีวิตก็ยอมล่วงศีลทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามการสะสมมาของจิต ที่สะสมฝ่ายดีและไม่ดีรู้ว่าไม่ควร แต่รู้ระดับไหน ก็อาจจะยอมล่วงศีลได้ เห็นโทษ เห็นโทษ ด้วยปัญญาระดับไหนคงเตือนได้แค่พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงและเมื่ออ่านจบทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมกันมาอนัตตาจริงๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 146 ๖. กฬายมุฏฐิชาดก ว่าด้วยโลภมาก
[๒๐๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ลิงผู้เที่ยว
หาอาหารตามกิ่งไม้นี้ โง่เขลายิ่งนัก ปัญญาของมัน
ก็ไม่มี มันสาดถั่วทั้งกำเสียหมดสิ้น แล้วเที่ยวค้นหาถั่วเมล็ดเดียวที่ตกลงยังพื้นดิน.
[๒๐๒] ข้าแต่พระราชา พวกเราก็ดี ชนเหล่าอื่น
ที่โลภจัดก็ดี จะต้องละทิ้งของมากเพราะของ
น้อย เปรียบเหมือนวานรเสื่อมจากถั่วทั้งหมด
เพราะถั่วเมล็ดเดียว ฉะนั้น. ละทิ้งกุศลธรรมจนล่วงศีล เพียงเพื่อประโยชน์เล็กน้อย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ -หน้าที่ 202
"บุคคลกระทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนใน
ภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้เสวย
ผลของกรรมใดอยู่ กรรมนั้น อันบุคคลกระทำแล้ว
ไม่ดีเลย." คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่....ศีล 5 กับเรื่องปลวก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ จำเป็นต้องประกอบอาชีพการงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินอันเป็นเครื่องประคับประคองให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างไม่ลำบาก แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าอาชีพที่ตนเองทำนั้นเป็นอาชีพที่ควรทำหรือไม่ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อนหรือไม่ เพราะอาชีพบางอาชีพที่เข้าใจกันในสังคมไทยว่าเป็นอาชีพที่สุจริต กับอาชีพที่สุจริตในทางธรรมจริงๆ ยังไม่ตรงกันทีเดียว เพราะอาชีพที่สุจริตทางธรรม ต้องงดเว้นจากทุจริตทั้งทางกายและทางวาจาที่เกี่ยวเนื่องกับอาชีพด้วย และที่สำคัญพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนทุกแง่มุมของชีวิต เพื่อไม่ให้เป็นผู้ประมาท เช่นข้อความที่ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 372
"คนพาล ทำกรรมอันชั่วช้า ก็สำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ
คนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ ไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ ต้องได้รับเคราะห์ร้ายในโลกทั้งสอง " (มโหสถชาดก)
คนพาลไม่ได้มองเห็นโลกหน้าเลย มุ่งแต่จะทำให้ตนเองได้รับความสุขสบายในชาตินี้เท่านั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา นั่นก็คือ ความทุกข์ ความเดือดร้อนในภายหลัง เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่ควรเป็นอย่างคนพาล ที่มองเห็นแค่โลกนี้เท่านั้น แต่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นบัณฑิต ด้วยการสะสมกุศลประการต่างๆ ทำในสิ่งที่ควรทำ ประกอบอาชีพเฉพาะที่ควรประกอบ เว้นสิ่งที่ควรเว้น พร้อมทั้งศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เพื่อเป็นที่พึ่งในภายหน้า จนกว่าจะบรรลุถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลส ได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์นะคะบางที..........อาจพอเป็นประโยชน์บ้าง.
ครอบครัวของข้าพเจ้า เคยหาเช้ากินค่ำแต่คุณพ่อบอกคุณแม่และพวกเราเสมอว่าอาชีพที่ไม่สุจริตนั้น...เปรียบเสมือนการนำไฟเข้าบ้าน...แม้รายได้จะดี.
แม้เรามีอาชีพหาเช้ากินค่ำ...ไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขาเราก็มีปัจจัย ๔ ตามมี ตามได้และยังไม่อดตาย...ไม่ใช่หรือ.?
ถ้าเราเลือกทำอาชีพที่เบียดเบียนผู้อื่น ดังกล่าวไม่มีทางที่เราจะไม่คิดถึงสิ่งที่ไม่ดีที่ได้กระทำไป จากการทำอาชีพทุจริตนั้นเพระเรารู้อยู่แก่ใจ.!
.
ถ้าเราจะมีเงินมากขึ้น ฐานะดีขึ้น...แต่เราก็ไม่สบายใจ.?
คือ ไม่สบายใจ ไม่สนิทใจ เพราะ การเบียดเบียนที่เกิดจากการกระทำอาชีพทุจริตนั้น.
และถ้ามั่นคง เรื่อง"กฏแห่งกรรม" จริงๆ ...ก็ไม่ทำดีกว่าเพราะ ผลของกรรม มีจริงๆ
ท่านว่า........."ถ้าอาชีพที่เราทำนั้น...ทำไปแล้ว จะต้องทนอยู่กับความไม่สบายใจ...คุ้มค่าแน่หรือต้องคิดให้ดีๆ นะ"
..........................................
ทางเลือก ยังมีเสมอ...สำคัญคือ เลือกผิด หรือ เลือกถูก.
พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดไม่มีสิ่งใด ที่เป็นโทษเป็นภัยมีแต่ประโยชน์ เท่านั้นทั้งประโยชน์ในโลกนี้ และ โลกหน้า.
อยู่ที่เราสะสมมา.........ที่จะน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตามได้ มากน้อยแค่ไหน.
............................................