อยากเปิดร้านเคมีภันฑ์ทางการเกษตร จะทำยังไงดีกับยาฆ่าแมลง

 
somkid.tada2
วันที่  22 ก.ค. 2552
หมายเลข  12961
อ่าน  3,070

ผมคนหนึ่งที่ไม่อยากทำบาป กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่มีพี่ชวนเปิดร้านยาหรือเคมีเกษตร ซึ่งจะมีพวกยาฮอร์โมน ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ผมมาสะดุดตรงยาฆ่าแมลงนี่แหละ ที่ผมอยากทำก็เพราะอยากหาอาชีพส่วนตัวที่อยู่ได้ เลี้ยงครอบครัวได้ อิสระดี ก็ทำนองอาชีพสุจริต เจตนาคือ ไม่อยากสร้างกรรมสร้างเวร และมีข้อห้ามว่าไม่ควรขายยาพิษ เลยคิดหนัก รบกวนผู้รู้แนะนำด้วย มันจะเหมือนคนกินเนื้อหมู แต่ไม่มีเจตนาฆ่าหมูหรือป่าวครับ เพราะยังไงชาวไร่ ชาวนาก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลง มันหลีกไม่ได้จริงๆ

อาชีพต้องห้ามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ ได้แก่๑.ค้าสุรา๒.ค้ามนุษย์๓.ค้ายาพิษ๔.ค้าอาวุธ๕.ค้าสัตว์มีชีวิต

แล้วผมไม่ขายยาฆ่าแมลง แล้วผมจะอยู่รอดมั้ยละเนี่ย เห้ออออ

รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 23 ก.ค. 2552

ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าไม่ขายพวกยาฆ่าแมลงได้จะดี คิดว่าคงไม่ถึงอยู่ไม่รอดหรอกเพราะถ้าขายสินค้าประเภทอื่นๆ ก็พอมีกำไรเลี้ยงชีพอย่างสุจริตได้

ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มที่ ..

มีอาชีพขายยาฆ่าแมลง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 23 ก.ค. 2552

somkid.tada2....

"....แล้วผมไม่ขายยาฆ่าแมลง แล้วผมจะอยู่รอดมั้ยละเนี่ย เห้ออออ "

รอดชาตินี้แต่ชาติหน้าอาจไม่รอดนะคะ

เรายังต้องเกิดต้องตายอีกหลายชาติ ควรมองการณ์ไกลและไม่ควรประมาทค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันใหม่
วันที่ 23 ก.ค. 2552

สำคัญที่ปัญญา ในเรื่องของศีลก็เช่นกันศีลมีที่สุดเพราะลาภ อาศัยเพราะเหตุเงินทองก็ล่วงศีลศีลมีที่สุดเพราะญาติ เพราะเหตุแห่งญาติก็ยอมล่วงศีลศีลมีที่สุดเพราะอวัยวะ เพื่อรักษาอวัยวะก็ยอมล่วงศีลศีลมีที่สุดเพราะชีวิต เพื่อรักษาชีวิตก็ยอมล่วงศีลทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามการสะสมมาของจิต ที่สะสมฝ่ายดีและไม่ดีรู้ว่าไม่ควร แต่รู้ระดับไหน ก็อาจจะยอมล่วงศีลได้ เห็นโทษ เห็นโทษ ด้วยปัญญาระดับไหนคงเตือนได้แค่พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงและเมื่ออ่านจบทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมกันมาอนัตตาจริงๆ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 146 ๖. กฬายมุฏฐิชาดก ว่าด้วยโลภมาก

[๒๐๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ลิงผู้เที่ยว

หาอาหารตามกิ่งไม้นี้ โง่เขลายิ่งนัก ปัญญาของมัน

ก็ไม่มี มันสาดถั่วทั้งกำเสียหมดสิ้น แล้วเที่ยวค้นหาถั่วเมล็ดเดียวที่ตกลงยังพื้นดิน.

[๒๐๒] ข้าแต่พระราชา พวกเราก็ดี ชนเหล่าอื่น

ที่โลภจัดก็ดี จะต้องละทิ้งของมากเพราะของ

น้อย เปรียบเหมือนวานรเสื่อมจากถั่วทั้งหมด

เพราะถั่วเมล็ดเดียว ฉะนั้น. ละทิ้งกุศลธรรมจนล่วงศีล เพียงเพื่อประโยชน์เล็กน้อย

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ -หน้าที่ 202

"บุคคลกระทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนใน

ภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้เสวย

ผลของกรรมใดอยู่ กรรมนั้น อันบุคคลกระทำแล้ว

ไม่ดีเลย." คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่....ศีล 5 กับเรื่องปลวก

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 23 ก.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ค. 2552


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ จำเป็นต้องประกอบอาชีพการงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินอันเป็นเครื่องประคับประคองให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างไม่ลำบาก แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าอาชีพที่ตนเองทำนั้นเป็นอาชีพที่ควรทำหรือไม่ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อนหรือไม่ เพราะอาชีพบางอาชีพที่เข้าใจกันในสังคมไทยว่าเป็นอาชีพที่สุจริต กับอาชีพที่สุจริตในทางธรรมจริงๆ ยังไม่ตรงกันทีเดียว เพราะอาชีพที่สุจริตทางธรรม ต้องงดเว้นจากทุจริตทั้งทางกายและทางวาจาที่เกี่ยวเนื่องกับอาชีพด้วย และที่สำคัญพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนทุกแง่มุมของชีวิต เพื่อไม่ให้เป็นผู้ประมาท เช่นข้อความที่ว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ -
หน้าที่ 372

"คนพาล ทำกรรมอันชั่วช้า ก็สำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ

คนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ ไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ ต้องได้รับเคราะห์ร้ายในโลกทั้งสอง " (มโหสถชาดก)

คนพาลไม่ได้มองเห็นโลกหน้าเลย มุ่งแต่จะทำให้ตนเองได้รับความสุขสบายในชาตินี้เท่านั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา นั่นก็คือ ความทุกข์ ความเดือดร้อนในภายหลัง เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่ควรเป็นอย่างคนพาล ที่มองเห็นแค่โลกนี้เท่านั้น แต่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นบัณฑิต ด้วยการสะสมกุศลประการต่างๆ ทำในสิ่งที่ควรทำ ประกอบอาชีพเฉพาะที่ควรประกอบ เว้นสิ่งที่ควรเว้น พร้อมทั้งศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เพื่อเป็นที่พึ่งในภายหน้า จนกว่าจะบรรลุถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลส ได้ในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 23 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พุทธรักษา
วันที่ 23 ก.ค. 2552

ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์นะคะบางที..........อาจพอเป็นประโยชน์บ้าง.
ครอบครัวของข้าพเจ้า เคยหาเช้ากินค่ำแต่คุณพ่อบอกคุณแม่และพวกเราเสมอว่าอาชีพที่ไม่สุจริตนั้น...เปรียบเสมือนการนำไฟเข้าบ้าน...แม้รายได้จะดี.

แม้เรามีอาชีพหาเช้ากินค่ำ...ไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขาเราก็มีปัจจัย ๔ ตามมี ตามได้และยังไม่อดตาย...ไม่ใช่หรือ.?
ถ้าเราเลือกทำอาชีพที่เบียดเบียนผู้อื่น ดังกล่าวไม่มีทางที่เราจะไม่คิดถึงสิ่งที่ไม่ดีที่ได้กระทำไป จากการทำอาชีพทุจริตนั้นเพระเรารู้อยู่แก่ใจ.!
.
ถ้าเราจะมีเงินมากขึ้น ฐานะดีขึ้น...แต่เราก็ไม่สบายใจ.?

คือ ไม่สบายใจ ไม่สนิทใจ เพราะ การเบียดเบียนที่เกิดจากการกระทำอาชีพทุจริตนั้น.
และถ้ามั่นคง เรื่อง"กฏแห่งกรรม" จริงๆ ...ก็ไม่ทำดีกว่าเพราะ ผลของกรรม มีจริงๆ

ท่านว่า........."ถ้าอาชีพที่เราทำนั้น...ทำไปแล้ว จะต้องทนอยู่กับความไม่สบายใจ...คุ้มค่าแน่หรือต้องคิดให้ดีๆ นะ"
..........................................
ทางเลือก ยังมีเสมอ...สำคัญคือ เลือกผิด หรือ เลือกถูก.
พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดไม่มีสิ่งใด ที่เป็นโทษเป็นภัยมีแต่ประโยชน์ เท่านั้นทั้งประโยชน์ในโลกนี้ และ โลกหน้า.
อยู่ที่เราสะสมมา.........ที่จะน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตามได้ มากน้อยแค่ไหน.
............................................

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 23 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ