เลิกคิดค่ะ

 
คุณย่า
วันที่  24 ก.ค. 2552
หมายเลข  12980
อ่าน  3,044

สนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ
ปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๑

คุณเด่นพงษ์ ผมสังเกต จากการฟังท่านอาจารย์บรรยายมาและจากการตอบปัญหามาหลายปี ผมเข้าใจว่า ปัจจัยสำคัญในการเจริญสติ คือ

๑ ต้องเข้าใจปรมัตถ์ ต้องเข้าใจธรรมให้แจ่มแจ้งให้ชัดเจน คือ รู้ลึกซึ้งพอสมควร

๒ ท่านอาจารย์เคยพูดว่า เป็นผู้ที่ได้สะสมบารมีมาพอสมควร สติจึงจะเกิดขึ้นได้ และในการเจริญสตินั้น เราจะเจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรื่องจิต เรื่องเจตสิกอะไรต่างๆ เหล่านี้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้ ต้องแล้วอะไรจะเกิดขึ้นปรากฎ

คำถามของผมก็คือว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเราๆ ที่อยู่ในห้องนี้ เท่าที่สังเกต ก็ถามกันเรื่องเก่าๆ ก็ไม่รู้สักที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่รู้สักที่ คนเก่าๆ ๒๐ ปี คำถามก็เก่าๆ ผมก็เลยมีความรู้สึกว่า อย่างนั้นเราในที่นี้ ในห้องนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่ควรคิดที่จะเจริญสติใช่ไหมครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

คุณเด่นพงษ์ แล้วตอนบ่าย เรามาเรียนวิธิปฏิบัติ

ท่านอาจารย์ มิได้ค่ะ ไม่ได้เรียนวิธิปฏิบัติ พูดเรื่องการปฏิบัติให้เข้าใจ

คุณเด่นพงษ์ แล้วรอไปอีกกี่ปี กี่กัปป์ กี่อะไร อย่างนั้นใช่ไหมครับ

ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวกับเวลา เกี่ยวกับความเข้าใจ พอที่สติจะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎ ในขณะนี้หรือยัง

คุณเด่นพงษ์ ฟังดูแล้ว เมื่อไรเราปฏิบัติได้ มันเลยท้อครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เลิกคิดไงค่ะ เรื่องการปฏิบัติ เลิกคิดค่ะ เดี๋ยวก่อนนะค่ะ คุณเด่นพงษ์ ก็พูดตั้งแต่ต้น เรื่องเมื่อไรสติปัฏฐานจะมีได้ ทำไมมุ่งไปที่สติปัฎฐาน สิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า การฟังพระธรรมนี้ เพื่ออะไร ถ้าไม่ตั้งต้นให้ถูกต้อง ไม่มีทางที่จะไปถึงสติปัฏฐาน หรือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย เพราะว่าไม่มีความเข้าใจธรรม แม้แต่ขั้นต้นว่า ธรรมคืออะไร แล้วการฟังพระธรรมนี้ ฟังพระธรรมไม่ได้ฟังเรื่องอื่นเลย และที่พูดมาทั้งหมดก็จริง ฟังกันมาตั้งหลายปี แล้วคนเก่าคนก่อน ทั้งคนใหม่ก็พูดว่า ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจสักที ไม่รู้สักที ทางตาหู...กายใจ ทุกคนพูดความจริงค่ะ ไม่ได้พูดความเท็จเลย เป็นความจริง

ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางเดียวก็คือว่า จากคำว่า ฟังมานาน บ่อยแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะเริ่มเข้าใจได้ไหม ไม่ต้องไปคิดไกลถึงสติปัฏฐาน ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถ้าไม่มีการเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น คำถามแรก ไม่ใช่เรื่องสติปัฏฐาน แต่คำถามก็คือว่า ขณะนี้ได้ฟังว่า เป็นธรรม พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรม ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลยค่ะ รู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งฟังมาหลายปี ก็ยังไม่รู้ เห็นไหมค่ะ ก็เป็นการยืนยันว่า การที่ปัญญาสามารถจะเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมๆ ไม่ได้หมายความว่ามีเราไปรู้ว่า วิริยะ เป็นยังไง เกิดกับจิตกี่ดวงและเมื่อไรจะได้มีวิริยะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ อบรมที่จะฟังให้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นวิริยะหรือเปล่าค่ะ มีลักษณะของวิริยะปรากฎหรือเปล่าค่ะ กำลังเห็นนี้มีวิริยะปรากฎหรือเปล่า ขณะนี้ที่เห็น กำลังเห็นนะค่ะ มีวิริยเจตสิกปรากฏหรือเปล่า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 24 ก.ค. 2552
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 24 ก.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
noynoi
วันที่ 24 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aiatien
วันที่ 24 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ค. 2552

ความต้องการ...คือโลภะ...จะพาให้ออกไปจากหนทางที่ถูกต้อง...ปัจจัยที่จะให้สติปัฎฐานเกิด ก็คือ การฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง โดยไม่ไปคิดเอาเอง แต่คิดพิจารณาในสิ่งที่ฟังให้เข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น จึงเป็นปัจจัยให้สติเกิดรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ทศพล.com
วันที่ 26 ก.ค. 2552

เรื่องการปฏิบัติไม่ต้องกังวลเลย เป็นหน้าที่ของความรู้ความเข้าใจพร้อม ของการเจริญสติปัฏฐาน ถ้ามีเหตุให้สติปัฏฐานเกิดก็เกิด ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่เกิด อาศัยวิริยารัมกถาต่อไปนะครับ ทั้งตัวผมเองและท่านสหายธรรม

ขอกราบอนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คุณ
วันที่ 30 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ