คิดจะชำระหนี้บ้างหรือยัง
เมื่อตอนเป็นเด็ก เคยได้ยินพุทธภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “ความเป็นหนี้ เป็นทุกข์ในโลก” ก็พยายามไม่เป็นหนี้ใคร ไม่ชอบใช้บัตรเครดิต ใช้เงินเท่าที่มี ก็ไม่เป็นทุกข์จริงๆ ด้วย แต่ก็ยังเป็นหนี้บุญคุณผู้มีพระคุณทั้งหลาย ซึ่งก็พยายามตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ มีบิดามารดา ครูอาจารย์และผู้มีอุปการคุณทั้งหลายเท่าที่จะสามารถ เมื่อมาศึกษาพระธรรม ก็พบว่าไม่ใช่มีแต่เพียงหนี้ที่เป็นเงินทองและบุญคุณเท่านั้นที่ต้องชำระ แต่ยังมีหนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ กิเลส
ท่านอาจารย์ได้บรรยายไว้ใน “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ครั้งที่ ๑๕๑๒ มีข้อความว่า “ขณะที่ท่านผู้ฟังกำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง เป็นประจำในชีวิตประจำวัน เป็นหนี้บ้างหรือเปล่าคะ
ตราบใดที่ยังมีกิเลส ย่อมยังไม่พ้นหนี้ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกคนมีหนี้ หนี้เก่าในชาตินี้ขณะที่หลงลืมสติ เป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิต ซึ่งล่วงเป็นอกุศลกรรมทางกาย ทางวาจาหรือ แม้ทางใจมีบ้างไหมตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็หนี้เก่าในชาติก่อนๆ ในอสงไขยกัปป์ หนี้ในขณะปัจจุบันที่หลงลืมสติไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และหนี้ในอนาคต คือ ในวันต่อๆ ไป ที่หลงลืม ที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นหนี้ที่พอกพูนอยู่เรื่อยๆ จะพ้นหนี้ได้อย่างไร ก็มีหนทางเดียว คือ ต้องเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรม และก็ดับกิเลสได้ จึงจะพ้นจากหนี้ได้
แต่เพียงให้รู้สึกตัวว่าเป็นหนี้ก็เป็นประโยชน์ที่จะรู้ว่าหนี้มากเหลือเกิน หนี้ในอดีต หนี้ในปัจจุบัน หนี้ในอนาคต เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเป็นผู้ที่คิดจะชำระหนี้ด้วยการอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะพ้นจากหนี้ ขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นดับกิเลสขณะใด ขณะนั้นก็พ้นจากการเป็นหนี้
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
หนี้ คือ สิ่งที่ต้องชดใช้ ซึ่งตามความเข้าใจทั่วไปแล้ว เราก็เป็นหนี้บุญคุณของผู้มีพระคุณ ซึ่งในพระไตรปิฎกแสดงเรื่องหนี้ การใช้หนี้ของผู้มีพระคุณมีบิดา มารดา เป็นต้น ไว้น่าฟัง ดังนี้ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกแขกเต้า เมื่อบิดา มารดาแก่เฒ่า ก็บินไปออกหาอาหารมาให้ พระโพธิสัตว์บินไปกินข้าวสาลีและคาบมาด้วยเพื่อให้ บิดา มารดาได้กินด้วย แต่ตัวอื่นกินอย่างเดียวไม่ได้คาบมาให้ใคร ต่อมาพระโพธิสัตว์ถูกจับ จึงได้ถูกถามว่าทำไมท่านจึงคาบข้าวสาลีเอากลับไปด้วยเพราะอะไร พระโพธิสัตว์จึงตอบว่า
ข้าพเจ้านำเอาข้าวสาลีของท่านไปถึงยอดงิ้วแล้ว ก็เปลื้องหนี้เก่า ให้เขากู้หนี้ใหม่ และฝังขุมทรัพย์ไว้ที่ป่างิ้วนั้น ข้าแต่ท่านโกสิยะ ขอท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.
บุคคลนั้นถามว่า เปลื้องหนี้เก่าคือะไร ให้เขากู้หนี้ใหม่คืออะไร ฝังขุมทรัพย์คืออะไร พญานกแขกเต้า ถูกพราหมณ์ถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะพยากรณ์ปัญหาได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า
ข้าแต่ท่านโกสิยะ บุตรน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้ายังอ่อน ขนปีกยังไม่ขึ้น บุตรเหล่านั้น ข้าพเจ้าเลี้ยงมาแล้ว เขาจักเลี้ยงข้าพเจ้าบ้าง เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าให้บุตรเหล่านั้นกู้หนี้ มารดาและบิดาของข้าพเจ้าแก่เฒ่าล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว ข้าพเจ้าคาบข้าวสาลีไปด้วยจะงอยปาก เพื่อท่านเหล่านั้นชื่อว่าเปลื้องหนี้ที่ท่านทำไว้ก่อน อนึ่ง นกเหล่าอื่นที่ป่าไม้งิ้วนั้น มีขนปีกอันหลุดหมดแล้ว เป็นนกทุพพลภาพ ข้าพเจ้าต้องการบุญ จึงได้ให้ข้าวสาลีแก่นกเหล่านั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการทำบุญนั้นว่า เป็นขุมทรัพย์ การให้กู้หนี้ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ การเปลื้องหนี้ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าบอกการฝังขุมสมบัติไว้เช่นนี้ ข้าแต่ท่านโกสิยะขอท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.
เมื่ออ่านจบแล้ว ก็อย่าลืมใช้หนี้ คือ ตอบแทนพระคุณพ่อแม่นะครับ หากท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ รวมทั้งฝังขุมทรัพย์คือเจริญกุศลทุกประการครับ
แต่เมื่อว่าสภาพธรรมที่เป็นจริง เป็นสัจจะแล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ขณะที่เป็นหนี้คือขณะที่ทำอกุศลกรรม ทำบาป เพราะต้องตามใช้หนี้ คือเกิดอีกและได้รับทุกข์ ทุกข์ที่เดือดร้อนทางใจและทางกาย ทั้งเป็นปัจจัยให้ไปอบายภูมิ อันเป็นคุกที่น่ากลัว การจะไม่ให้มีหนี้คืออกุศลกรรม คือ ดับเหตุให้เป็นหนี้ คือ กิเลส ทาน ศีล สมถภาวนา ดับกิเลสไม่ได้ ต้องเป็นวิปัสสนาภาวนา (สติปัฏฐาน) แต่ที่สำคัญเราเข้าใจถูกในเรื่อง การอบรมวิปัสสนาภาวนาหรือยัง ถ้าเข้าใจผิด ก็เป็นการเพิ่มหนี้ ไม่มีทางออกจากคุก คือ สังสารวัฏฏ์ได้เลย การเจริญอบรมปัญญาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เป็นหนทางเดียวที่จะชำระหนี้ เพราะเมื่อดับกิเลสหมด ย่อมไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอีก จึงไม่เป็นปัจจัยให้หนี้คืออกุศลกรรมที่ทำไว้ให้ผลได้เลย นี่คือหนทางเดียวของการชำระหนี้จริงๆ
ขออนุโมทนา
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 665
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้นั้นแล เมื่อไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เรากล่าวการประพฤติทุจริตของเขาว่า เป็นการกู้ยืม เขาย่อมตั้งบุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใส ให้ทานด้วย
บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใส ให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดยชอบธรรม ย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน คือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขในสัมปรายภพ การบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้นย่อมเจริญบุญ ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีใจประกอบด้วยหิริ มีโอตตัปปะ มีปัญญาและสำรวมในศีล ในวินัยของพระอริยเจ้า ผู้นั้นแล เราเรียกว่ามีชีวิตเป็นสุข ในวินัยของพระอริยเจ้า
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ความจนทางโลกกับทางธรรม [อิณสูตร]
การเป็นหนี้เสมือนถูกจองจำ [อิณสูตร]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เมื่อมีผู้ถามเรื่องการชำระหนี้ ท่านอาจารย์ตอบว่า
ถาม : หนี้สินอื่นก็ได้ชำระหมดแล้ว แม้แต่หนี้ชีวิตก็ชำระกันไปบ้าง ในชาตินี้ ผมเองก็ไม่ได้มีหนี้อะไรกับใคร
สุ. : จริงหรือคะ ถ้ามีกิเลส แล้วยังมีหนี้นะคะ
ถาม : กำลังจะถามอาจารย์ว่า มีเหลือแต่หนี้กิเลส ถ้าจะชำระกันแล้ว วันหนึ่งถ้าทำบัญชีรับจ่ายแล้ว ก็ขาดดุลทุกวัน มากมายเหลือเกิน แล้วจะชำระอย่างไรครับ
สุ. : จะเอาศรัทธาที่ไหนมามากๆ จะเอาสติที่ไหนมามากๆ จะเอาวิริยะที่ไหนมามากๆ จะเอาปัญญาที่ไหนมามากๆ ต้องค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย ทีหนี้ ยังมีทีละเล็กทีละน้อย จนหนาแน่น เพราะฉะนั้น เวลาจะชำระหนี้ ก็ต้องหาทรัพย์ คืออริยทรัพย์ ได้แก่ ศรัทธา สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา ที่เกิดในขณะที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ชำระหนี้ไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย โดยระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ดีค่ะ ที่จะรู้สึกตัวว่า ยังเป็นหนี้อยู่ เพื่อที่จะได้ชำระหนี้
ถ้าไม่รู้ตัวว่าเป็นหนี้ ก็จะไม่ชำระหนี้ ใช่ไหมคะ ก็พอกพูนไป แต่ว่าเรื่องการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เป็นเรื่องละเอียด และเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นเรื่องที่รู้ได้จริงๆ เพราะเหตุว่าเป็นสัจจธรรม เป็นของจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ ในการกล่าวถึงหนี้ก็ตาม หรือการที่จะอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครคนหนึ่งคนใดสามารถจะหยิบยกอกุศลทั้งหมดออกทิ้งไปได้ โดยการทำอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ว่าต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นการฟัง
เพราะเหตุว่า ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมโดยละเอียดทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เพื่อที่จะให้เห็นว่า สภาพธรรมที่ปรากฏเสมือนว่าไม่ดับเลย เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วมากนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงจิตที่เกิดขึ้นชั่วขณะเดียว แล้วก็ทำกิจการงานสืบต่อกันอย่างไร ในขณะที่มีการเห็นวาระหนึ่ง การได้ยินวาระหนึ่ง การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก
ขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นดับกิเลสขณะใด ขณะนั้นก็พ้นจากการเป็นหนี้
กราบขออนุโมทนาค่ะ
เป็นหนี้ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย ทุกวินาที ก็คิดเป็นอกุศลก็เท่ากับจ่ายดอกเบี้ยทบต้นแสดงว่ามีหนี้กันท่วมท้น คิดจะชำระหนี้ให้หมดคงไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อรู้ทางแล้วก็ยังไม่ง่ายเหมือนเดิม จึงต้องเริ่มด้วยศรัทธาที่มีกำลังค่อยเป็นค่อยไป ครับ
"เมื่ออ่านจบแล้วก็อย่าลืมใช้หนี้ คือตอบแทนพระคุณพ่อแม่นะครับ หากท่านล่วงลับไป แล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ รวมทั้งฝังขุมทรัพย์คือเจริญกุศลทุกประการครับ"
ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ