จริยาวัตรของภิงสพราหมณ์
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 411
๔. ภิงสจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของภิงสพราหมณ์
[๒๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราอยู่ในพระนครกาสี อันประเสริฐสุด น้องหญิงชาย ๗ คน เกิดใน ตระกูลพราหมณ์มหาศาล เราเป็นพี่ใหญ่ของ น้องหญิงชายเหล่านั้น ประกอบด้วยหิริ และ ธรรมขาว เราเห็นภพโดยความเป็นภัย จึงยินดี อย่างยิ่งในเนกขัมมะ พวกสหายร่วมใจของเรา ที่มารดาและบิดาส่งมาแล้ว เชื้อเชิญเราด้วยกาม ทั้งหลายว่า เชิญท่านดำรงวงศ์สกุลเถิด คำใดที่ สหายเหล่านั้นกล่าวแล้ว เป็นเครื่องนำสุขมาให้ ในธรรมของคฤหัสถ์ คำนั้นเป็นเหมือนคำหยาบ เสมอด้วยผาลอันร้อน ได้มีแก่เรา ในกาลนั้น สหายเหล่านั้น ได้ถามเราผู้ห้ามอยู่ ถึงความ ปรารถนาของเราว่า ท่านปรารถนาอะไรเล่า เพื่อน ถ้าท่านไม่บริโภคกาม เราผู้ใคร่ประโยชน์ แก่ตน ได้กล่าวแก่สหายผู้แสวง
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 412
หาประโยชน์เหล่านั้นว่า เราไม่ปรารถนาความ เป็นคฤหัสถ์ เรายินดีอย่างยิ่งในเนกขัมมะ สหายเหล่านั้นฟังคำเราแล้ว ได้บอกแก่มารดา และบิดา มารดาและบิดาได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม้เราทั้งสองก็จะบวช มารดาบิดาทั้งสอง และน้องหญิงชายทั้ง ๗ ของเรา สละทิ้งทรัพย์ นับไม่ถ้วนเข้าไปยังป่าใหญ่ ฉะนี้แล
จบ ภิงสจริยาที่ ๔
อรรถกถาภิงสจริยาที่ ๔
พึงทราบวินิจฉัยในภิงสจริยาที่ ๔ ดังต่อไปนี้
บทว่า ยทา โหมิ ภาสีนปุรวรุตฺตเม ในกาลเมื่อเราอยู่ในแคว้นกาสี อันประเสริฐสุด มีอธิบายว่า เราเจริญเติบโตอยู่ในกรุงพาราณสี อันเป็นนครประเสริฐ ของแคว้นที่ได้ชื่อว่า กาสี
บทว่า ภคินี จ ภาตโร สตฺต นิพฺพตฺตา โสตฺติเย กุเล น้องหญิงชาย ๗ คน เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ความว่า พวกเราทั้งหมด ๘ คน คือ พี่ชาย น้องชาย ๗ คน คือ ๖ คน มีอุปกัญจนะเป็นต้น และเรา กับน้องสาวคนเล็กชื่อกัญจนเทวี ในกาลนั้นเกิด
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 413
ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ชื่อว่า โสตติยะ เพราะไม่ยินดีใน การเชื้อเชิญด้วยมนต์. ได้ยินว่าในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ มหาศาล มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในกรุงพาราณสี. มีชื่อว่า กัญจน กุมาร. ครั้นเมื่อกัญจนกุมารเดินได้ ได้มีบุตรอื่นเกิดขึ้นอีก ชื่อว่า อุปกัญจนกุมาร. ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้งหลายพากันเรียกพระมหา สัตว์ว่า มหากัญจนกุมาร. โดยลำดับอย่างนี้ ได้มีบุตรชาย ๗ คน ส่วนน้องคนเล็กเป็นธิดาคนเดียว ชื่อว่ากัญจนเทวี. พระมหาสัตว์ ครั้นเจริญวัยได้ไปเมืองตักกศิลา เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างสำเร็จ แล้วก็กลับ.
ลำดับนั้น มารดาบิดาประสงค์จะผูกพระมหาสัตว์ให้อยู่ ครองเรือน จึงกล่าวว่า พ่อและแม่จะนำทาริกาจากตระกูลที่มี ชาติเสมอกับตนมาให้ลูก. พระมหาสัตว์กล่าวว่า แม่และพ่อจ๋า ลูกไม่ต้องการอยู่ครองเรือน. เพราะโลกสันนิวาสทั้งหมดมีภัย เฉพาะหน้าสำหรับลูกดุจถูกไฟไหม้. ผูกมัดดุจเรือนจำ. ปรากฏ เป็นของน่าเกลียดดุจที่เทขยะ. จิตของลูกมิได้กำหนัดในกาม ทั้งหลาย พ่อแม่ยังมีลูกอื่นอยู่อีก. ขอให้ลูกเหล่านั้นอยู่ครอง เรือนเถิด. แม้มารดาบิดาสหายทั้งหลายขอร้องก็ไม่ปรารถนา. ครั้งนั้น พวกสหายถามพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนสหาย ก็ท่าน ปรารถนาอะไรเล่า จึงไม่อยากบริโภคกาม. พระโพธิสัตว์จึงบอก ถึงอัธยาศัยในการออกบวชของตนแก่สหายเหล่านั้น ดังที่พระผู้ มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 414
เอเตสํ ปุพฺพโช อาสึ หิริสุกฺกมุปาคโต
ฯลฯ
มาตาปิตา เอวมาหุ สพฺเพว ปพฺพชาม โภ
มีคำแปลปรากฏแล้วในตอนต้น ในบทเหล่านั้น
บทว่า เอเตสํ ปุพฺพโช อาสึ คือใน กาลนั้น เราเป็นพี่ใหญ่ของน้องหญิงชาย ๗ คน มีอุปกัญจนะ เป็นต้นเหล่านั้น
บทว่า หิริสุกฺกมุปาคโต ประกอบด้วยหิริและ ธรรมขาว มีอธิบายว่า เรามีธรรมงามคือหีริมีลักษณะเกลียดบาป ชื่อว่า เป็นธรรมขาว เพราะมีธรรมขาวเป็นวิบาก และเพราะชำระ สันดานให้บริสุทธิ์. เราเกลียดบาปเป็นอย่างยิ่ง
บทว่า ภวํ ทิสฺวาน ภยโต , เนกฺขมฺมาภิรโต อหํ เราเห็นภพโดยความ เป็นภัย จึงยินดีอย่างยิ่งในเนกขัมมะ มีอธิบายว่า เราเห็นภพ ทั้งหมดมีกามภพเป็นต้น มีภัยเฉพาะหน้า โดยความเป็นของ น่ากลัว ดุจเห็นช้างดุแล่นมา ดุจเห็นเพชฌฆาตเงื้อมดาบมา เพื่อประหาร ดุจเห็น สีหะ ยักษ์ รากษส สัตว์มีพิษร้าย อสรพิษ และถ่านเพลิงที่ร้อน แล้วยินดีในบรรพชา เพื่อพ้นจากนั้น ออก บวชคิดว่า เราพึงบำเพ็ญสัมมาปฏิบัติอันเป็นธรรมจริยา และพึง ยังฌานและสมาบัติให้เกิดขึ้นได้อย่างไรหนอ ดังนี้จึงยินดีใน บรรพชา กุศลธรรมและปฐมฌานเป็นต้น ในกาลนั้น
บทว่า ปหิตา คืออันมารดาบิดาส่งมา
บทว่า เอกมานสา พวกสหาย ร่วมใจ คือพวกสหายที่มีอัธยาศัย
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 415
เสมอกัน มีความพอใจเป็นอันเดียวกัน มีความประพฤติเป็นที่ พอใจกับเรามาก่อน กล่าวคำน่าเกลียด ไม่เป็นที่พอใจพระ มารดาบิดาส่งมา.
บทว่า กาเมหิ มํ นิมนฺเตนฺติ คือ มีใจร่วมกัน กับมารดาบิดาเชื้อเชิญเราด้วยกามทั้งหลาย.
บทว่า กุลวํ สํ ธาเรหิ เชื้อเชิญท่านดำรงวงศ์ตระกูล มีอธิบายว่า พวกเขา เชื้อเชิญเราว่า ขอให้ท่านอยู่ครองเรือนดำรงวงศ์ตระกูลของตน เถิด.
บทว่า ยํ เตสํ วจนํ วุตฺตํ คือคำใดที่สหายที่รัก ของเราเหล่านั้นกล่าวแล้ว.
บทว่า คิหิธมฺเม สุขาวหํ ความว่า เป็นเครื่องนำสุขมาให้ในธรรมของคฤหัสถ์ คือ เมื่อความเป็น คฤหัสถ์มีอยู่ ชื่อว่า จะนำสุขมาให้ เพราะนำความสุข อันเป็นไป ในปัจจุบันและเป็นไปในภพหน้ามาให้ เพราะบุรุษผู้ตั้งอยู่ใน ความเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ปฏิบัติตามระเบียบที่ถูกต้อง.
บทว่า ตํ เม อโหสิ กิ นํ คำนั้นเป็นเหมือนคำหยาบ คือคำของพวก สหายของเราเหล่านั้น และของมารดาบิดา เป็นเหมือนคำหยาบ ดุจเผาที่หูทั้งสองข้าง เช่นเดียวกับผาลอันร้อนตลอดวัน เพราะ ไม่เป็นที่พอใจของเรา เพราะเรายินดียิ่งแล้วในการบวชโดย ส่วนเดียวเท่านั้น.
บทว่า เต มํ ตทา อุกฺขิปนฺตํ ความว่า สหายของเราเหล่านั้นได้ถามเราผู้ซัดไป ทิ้งไป ห้ามไป ซึ่งกาม ทั้งหลาย ที่มารดาบิดานำเข้าไปหลายครั้งด้วยการเชื้อเชิญตน.
บทว่า ปตฺถิตํ มม ความว่า ความปรารถนาด้วยกามนี้หรือจะ บริสุทธิ์กว่าการบรรพชานี้ ด้วยเหตุนั้นพวกสหายจึงถามถึงความ ปรารถนานั้นของเรา ซึ่งเราปรารถนาแล้วว่า ท่านปรารถนาอะไร เล่าเพื่อน ถ้าท่านไม่บริโภคกาม.
บทว่า อตฺถ-
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 416
กาโม คือผู้ใคร่ประโยชน์ตน อธิบายว่า กลัวบาป. บาลีว่า อตฺต กาโม บ้าง.
บทว่า หิเตสินํ คือสหายที่รักผู้แสวงหาประโยชน์ ให้แก่เรา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อตฺถกามหิเตสินํ คือผู้ ใคร่ประโยชน์และแสวงหาประโยชน์บทนั้นไม่ดี.
บทว่า ปิตุ มาตุญฺจ สาวยุ ความว่า สหายของเราเหล่านั้น รู้ความพอใจ ในบรรพชาของเราไม่เปลี่ยนแปลง จึงบอกคำของเราอันแสดง ถึงความใคร่จะบรรพชาแก่บิดาและมารดา ได้กล่าวว่า พ่อแม่ ทั้งหลายท่านจงรู้เถิด มหากาญจนกุมารจักบวช โดยส่วนเดียว เท่านั้น. มหากาญจนกุมารนั้นใครๆ ไม่สามารถจะนำเข้าไปใน กามทั้งหลายด้วยอุบายไรๆ ได้.
บทว่า มาตาปิตา เอวมาหุ ความว่า ในกาลนั้นมารดาบิดาของเรา ฟังคำของเราที่พวกสหาย ของเราบอก จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ พวกเราทั้งหมดจะ บวชบ้าง. ผิว่า มหากาญจนกุมารชอบใจการบวช. แม้พวกเรา ก็ชอบใจสิ่งที่ลูกเราชอบ. เพราะฉะนั้น เราทั้งหมดก็จะบวช.
บทว่า โภ เป็นคำเรียกพราหมณ์เหล่านั้น. ปาฐะว่า ปพฺพ ชาม โข บ้าง ความว่า เราจะบวชเหมือนกัน. น้องชาย ๖ มี อุปกัญจนะเป็นต้น และน้องสาวกัญจนเทวี รู้ความพอใจใน บรรพชาของพระมหาสัตว์ ได้ประสงค์จะบวชเหมือนกัน. ด้วย เหตุนั้น แม้ชนเหล่านั้นอันมารดาเชื้อเชิญให้อยู่ครองเรือนก็ไม่ ปรารถนา. เพราะฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราทั้งหมดก็จะ บวชเหมือนกันนะท่านพราหมณ์ทั้งหลาย. ก็และครั้นสหายทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว มารดาบิดา จึงเรียกพระ-
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 417
มหาสัตว์แจ้งความประสงค์แม้ของตนๆ แก่พระมหาสัตว์แล้วกล่าว ว่า ลูกรัก ถ้าลูกประสงค์จะบวชให้ได้ ลูกจงสละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ อันเป็นของลูกตามสบายเถิด. ลำดับนั้น พระมหาบุรุษบริจาค ทรัพย์นั้นแก่คนยากจน และคนเดินทางเป็นต้น แล้วออกบวช เข้าไปยังหิมวันตประเทศ. มารดาบิดา น้องชาย ๖ น้องหญิง ๑ ทาส ๑ ทาสี ๑ และสหาย ๑ ละฆราวาส ได้ไปกับพระมหาสัตว์ นั้น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- มารดาบิดาทั้งสอง และน้องหญิงชายทั้ง ๗ ของเรา สละทรัพย์นับไม่ถ้วน เข้าไปยังป่าใหญ่ แต่ในอรรถกถาชาดกท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อมารดาบิดา ถึงแก่กรรม พระมหาสัตว์ทำกิจที่ควรทำแก่มารดาบิดาเหล่านั้น แล้วจึงออกบวช.
ก็ครั้นชนเหล่านั้นมีพระโพธิสัตว์เป็นประมุข เข้าไปยัง หิมวันตประเทศอย่างนั้นแล้ว จึงอาศัยสระปทุมสระหนึ่งสร้าง อาศรมในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ บวชแล้ว ยังชีวิตให้เป็นไปด้วย อาหารอันเป็นรากไม้และผลไม้ในป่า. บรรดานักบวชเหล่านั้น ชน ๘ คนมีอุปกัญจนะเป็นต้น ผลัดเวรกันหาผลไม้ แบ่งส่วน ของตนและคนนอกนั้นไว้บนแผ่นหินแผ่นหนึ่ง ให้สัญญาระฆัง ถือเอาส่วนของตนๆ . เข้าไปยังที่อยู่. แม้พวกที่เหลือก็ออกจาก
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 418
บรรณศาลาด้วยสัญญาณระฆัง ถือเอาส่วนที่ถึงของตนๆ ไปยัง ที่อยู่ บริโภคแล้วบำเพ็ญสมณธรรม.
ครั้นต่อมาได้นำเอาเง่าบัวมาบริโภคเหมือนอย่างนั้น. ฤาษี เหล่านั้นมีความเพียรกล้า มีอินทรีย์มั่นคงอย่างยิ่ง กระทำกสิณ บริกรรมอยู่ ณ ที่นั้น. ลำดับนั้น ด้วยเดชแห่งศีลของฤาษี เหล่านั้น ภพของท้าวสักกะหวั่นไหว ท้าวสักกะทราบเหตุนั้น ทรงดำริว่า จักทดลองฤาษีเหล่านี้ ด้วยอานุภาพของตน จึงทำให้ ส่วนของพระมหาสัตว์หายไปตลอด ๓. วัน. ในวันแรกพระมหา- สัตว์ไม่เห็นส่วนของตน คิดว่า คงจะลืมส่วนของเรา. ในวัน ที่ ๒ คิดว่า เราจะมีความผิดกระมัง. ไม่ตั้งส่วนของเราคงจะไล่ เรากระมัง. ในวันที่ ๓ คิดว่า เราจักฟังเหตุการณ์นั้นแล้วจักให้ ขอขมา จึงให้สัญญาณระฆังในเวลาเย็น เมื่อฤาษีทั้งหมดประชุม กันด้วยสัญญาณนั้น จึงบอกเรื่องนั้นให้ทราบ ครั้นฟังว่า ฤาษี เหล่านั้นได้แบ่งส่วนไว้ให้ทั้ง ๓ วัน จึงกล่าวว่า พวกท่านแบ่ง ส่วนไว้ให้เรา แต่เราไม่ได้ มันเรื่องอะไรกัน? ฤาษีทั้งหมด ฟังดังนั้น ก็ได้ถึงความสังเวช.
ณ อาศรมนั้นแม้รุกขเทวดาก็ลงมาจากภพของตน นั่งใน สำนักของฤาษีเหล่านั้น. ช้างเชือกหนึ่งหนีจากเงื้อมมือของ พวกมนุษย์เข้าป่า วานรตัวหนึ่งหนีจากเงื้อมมือของหมองูพ้นแล้ว เพราะจะให้เล่นกับงู ได้ทำความสนิทสนมกับฤาษีเหล่านั้น ใน กาลนั้นก็ได้ไปหาฤาษีเหล่านั้น ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ในขณะนั้น อุปกัญจนดาบสน้องของพระโพธิสัตว์ ลุกขึ้น
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 419
ไหว้พระโพธิสัตว์ แล้วแสดงความเคารพพวกที่เหลือ ถามขึ้นว่า ข้าพเจ้าเริ่มตั้งสัญญาณแล้วจะได้เพื่อยังตนให้บริสุทธิ์หรือ เมื่อ ฤาษีเหล่านั้นกล่าวว่า ได้ซิ จึงยืนขึ้นในท่ามกลางหมู่ฤาษี เมื่อ จะทำการแช่ง จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า :-
ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่านไป ผู้นั้นจงได้ม้า โค ทอง เงิน ภริยา และสิ่งพอใจ ณ ที่นี้ จงพรั่งพร้อมด้วยบุตรและภริยาเถิด. เพราะอุปกัญจนดาบสนั้น ตำหนิวัตถุกามว่า ความทุกข์ ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ในเพราะการพลัดพรากจากวัตถุอันเป็น ที่รัก จึงกล่าวคาถานี้.
หมู่ฤาษีได้ฟังดังนั้น จึงปิดหูด้วยกล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่ากล่าวอย่างนั้น. คำแช่งของท่านหนักเกินไป. แม้ พระโพธิสัตว์ก็กล่าวว่า คำแช่งของท่านหนักเกินไป. อย่าถือเอา เลยพ่อคุณ. นั่งลงเถิด. แม้ฤาษีที่เหลือก็ทำการแช่ง ได้กล่าว คาถาเหล่านี้ ตามลำดับว่า :- ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่านไป ผู้นั้นจงทรงไว้ซึ่งมาลัยและจันทน์แดง จากแคว้น กาสี. สมบัติเป็นอันมากจงมีแก่บุตร. จงทำความ เพ่งอย่างแรงกล้าในกามทั้งหลาย.
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 420
ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน ผู้นั้นจงมีข้าวเปลือกมาก สมบูรณ์ด้วยกสิกรรม มียศ จงได้บุตร จงเป็นคฤหัสถ์ จงมีทรัพย์ จงได้สิ่งที่ ปรารถนาทุกอย่าง ไม่เห็นความเสื่อม จงครองเรือน. ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน ผู้นั้นเป็นกษัตริย์ จงเป็นผู้ทำการข่มขี่ จงเป็น พระราชายิ่งกว่าพระราชา ทรงพลัง จงมียศ จงครองแผ่นดินพร้อมด้วยทวีปทั้ง ๔ เป็นที่สุด.ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ จงไม่ปราศจากราคะ จง ขวนขวายในฤกษ์ยาม และในวิถีโคจรของนักษัตร ผู้เป็นเจ้าแว่นแคว้น มียศ จงบูชาผู้นั้น. ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน โลกทั้งปวง จงสำคัญผู้นั้นว่า ผู้คงแก่เรียน ผู้มีเวทพร้อมด้วยมนต์ทุกอย่าง ผู้มีตบะ ชั่ว
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 421
ชนบทพิจารณาเห็นแล้ว จงบูชาผู้นั้น. ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน ผู้นั้นจงบริโภค บ้านส่วยอันหนาแน่นด้วยสิ่ง ทั้ง ๔ อันบริบูรณ์พร้อม ที่ท้าววาสวะประทาน จงไม่ปราศจาราคะ เข้าถึงมรณะ. ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน
ผู้นั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน จงบันเทิงอยู่ด้วยการฟ้อนรำ การขับร้องในท่ามกลางสหาย ผู้นั้นอย่าได้ความ เสื่อมเสียไรๆ จากพระราชา.
ท่านพราหมณ์ หญิงใดได้ลักเง่าบัวของท่าน หญิงนั้น เป็นอัครชายา ทรงชนะหญิงทั่วปฐพี จงดำรงอยู่ในความเป็นผู้เลิศกว่าหญิง ๑,๐๐๐ จงเป็นผู้ประเสริฐกว่าหญิงทั่วแดน.
ท่านพราหมณ์ หญิงใดได้ลักเง่าบัวของท่าน หญิงนั้น ไม่หวั่นไหว บริโภคของอร่อยใน ท่ามกลางฤาษีทั้งหลาย ที่ประชุมกันทั้งหมด. จงเที่ยวอวดด้วยลาภ.
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 422
ท่านพราหมณ์ ผู้ใดได้ลักเง่าบัวของท่าน ผู้นั้น จงเป็นผู้ดูแลวัด ในมหาวิหาร จงเป็นผู้ ดูแลการก่อสร้าง ในคชังคลนคร จงทำหน้าต่าง เสร็จเพียงวันเดียว.
ท่านพราหมณ์ ช้างใดได้ลักเง่าบัวของท่าน ช้างนั้นถูกคล้องด้วยบ่วง ๑๐๐ บ่วง ในที่ ๖ แห่ง จงนำออกจากป่าน่ารื่นรมย์ไปสู่ราชธานี ช้างนั้น ถูกเบียดเบียนด้วยขอมีด้ามยาว.
ท่านพราหมณ์วานรใดได้ลักเง่าบัวของท่าน วานรนั้น ประดับดอกรักที่คอ หลังหูประดับ ด้วยดีบุก ถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว จงนำเข้าไป ต่อหน้างู ผูกติดกับผ้าเคียนพุง จงเที่ยวไปตลอด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ติพฺพ? คือ จงทำการเพ่ง อย่างหนักในวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย. บทว่า ปุตฺเต คิหี ธนิมา สพฺพกาเม คือ จงได้บุตร จงเป็นคฤหัสถ์ จงมีทรัพย์ ด้วยทรัพย์ ๗ อย่าง จงได้ความใคร่ทั้งปวง มีรูปเป็นต้น. บทว่า วย? อปสฺส? คือ แม้ในเวลาแก่ ก็ไม่เห็น
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 423
ความเสื่อมของตน จงครองเรือนอันสำเร็จด้วยกามคุณ ๕. บทว่า ราชาภิราชา คือเป็นพระราชายิ่งในระหว่างพระราชา ทั้งหลาย. บทว่า อวีตราโค ยังไม่ปราศจากราคะ คือมีความ อยากด้วยอยากในตำแหน่งปุโรหิต บทว่า ตปสฺสิน? คือตบะ และศีล จงสำคัญผู้นั้นว่าเป็นผู้มีศีล. บทว่า จตุสฺสท? คือหนาแน่นด้วยสิ่ง ๔ อย่าง คือ ด้วยมนุษย์ทั้งหลาย เพราะมี มนุษย์เกลื่อนกล่น ๑ ด้วยข้าวเปลือก เพราะมีข้าวเปลือกมาก ๑ ด้วยไม้ เพราะไม้หาได้ง่าย ๑ ด้วยน้ำ เพราะมีน้ำสมบูรณ์ ๑. บทว่า วาสเวน คือไม่หวั่นไหว ดุจท้าววาสวะประทาน. อธิบายว่า ยังพระราชาให้ทรงโปรดปรานด้วยอานุภาพพรที่ได้ จากท้าววาสวะ อันท้าววาสวะนั้นประทานบ้าง บทว่า อวีตราโค คือยังไม่ปราศจากราคะ จงเป็นผู้จมลงในเปือกตม คือกาม ดุจสุกรในเปือกตมฉะนั้น. บทว่า คามณี คือ ผู้ใหญ่บ้าน. บทว่า ต? คือ หญิงนั้น. บทว่า เอกราชา คือพระอัครราชา คำว่า อิตฺถีสหสฺสสฺส ท่านกล่าวเป็นบทตั้งไว้ อธิบายว่า จงดำรงอยู่ในฐานะอันเลิศกว่า หญิง ๑๖,๐๐๐ บทว่า สีมนฺตินีน? คือหญิงทั้งหลาย. บทว่า สพฺพสมาคตาน? คือนั่งในท่ามกลางฤาษีทั้งหลายที่มาประชุมกันทั้งหมด. บทว่า อปิกมฺปมานา ไม่หวั่นไหว คือไม่ชักช้าจงบริโภคอาหารมีรส อร่อย. บทว่า จราตุลาเภน วิกตฺถมานา คือแต่งตัวน่ารัก เพราะลาภเป็นเหตุ จงเที่ยวไปเพื่อให้เกิดลาภ. บทว่า อาวาสิโก คือผู้ดูแลวัด. บทว่า คชงฺคลาย? คือ ในนคร มีชื่ออย่างนี้ ได้ยินว่าในนครนั้น มีทัพพสัมภาระหาได้ง่าย. บทว่า
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 424
อาโลกสนฺธึ ทิวสํ คือจงทำหน้าต่างบานเดียวให้เสร็จใน วันเดียว. นัยว่า เทพบุตรนั้นเมื่อครั้งศาสนาพระกัสสปพุทธเจ้า อาศัยคชังคลนคร เป็นพระสังฆเถระ ผู้ดูแลวัดในมหาวิหาร ประมาณโยชน์หนึ่ง กระทำการก่อสร้างในวิหาร ได้รับทุกข์ อย่างมาก ท่านกล่าวหมายถึงพระสังฆเถระนั้น. บทว่า ปาสสเตหิ คือหลายบ่วง. บทว่า ฉมฺหิ ได้แก่ ในที่ ๖ แห่ง คือ ที่เท้า ๔ ที่คอ ๑ ที่ส่วนเอว ๑. บทว่า ตุตฺเตหิ คือไม้ ด้ามยาวมีหนามสองข้าง. บทว่า ปาจเนหิ คือปฏักสั้นหรือหอก. บทว่า อลกฺกมาลี ได้แก่ดอกรัก คือประกอบด้วยมาลัยดอกรัก ที่หมองู คล้องไว้ที่คอ. บทว่า ติปุกณฺณปิฏฺโฐ คือหลังหู ประดับด้วยดีบุก. บทว่า ลฏฺฐิหโต คือหมองู สอนวานรให้ เล่นกับงู ถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว. ฤาษีเหล่านั้นเกลียดการ บริโภคกาม การอยู่ครองเรือน และทุกข์ที่ตนได้รับทั้งหมด จึงกล่าวแช่งอย่างนั้นๆ . ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ดำริว่า เมื่อดาบสเหล่านี้ ทำการแช่ง. แม้เราก็ควรทำบ้าง. เมื่อจะทำการแช่ง จึงกล่าว คาถานี้ว่า :- ผู้ใดแล กล่าวสิ่งที่ไม่สูญหาย ว่าสูญหาย ผู้นั้นจงได้และจงบริโภคกามทั้งหลาย หรือว่า ข้าแต่เทวะผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดไม่เคลือบ- แคลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้นั้นจงเข้าถึงมรณะ ในท่ามกลางเรือนเถิด.
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓- หน้าที่ 425
ในบทเหล่านั้น บทว่า โภนฺโต คือผู้เจริญทั้งหลาย. บทว่า สงกติ คือย่อมไม่สงสัย. บทว่า กญฺจิ คืออย่างใด อย่างหนึ่ง.
ลำดับนั้นท้าวสักกะทรงทราบว่า ฤาษีทั้งหมดเหล่านี้ ไม่มีความเพ่งในกามทั้งหลาย จึงทรงสลดพระทัย เมื่อจะ ทรงแสดงว่า บรรดาฤาษีเหล่านั้นแม้ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็มิได้นำ เง่าบัวไป. แม้ท่านก็มิได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่สูญหายว่าหาย. ที่แท้ข้าพเจ้าประสงค์จะทดลองพวกท่านจึงทำให้หายไปดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-
ข้าพเจ้าเมื่อจะทดลอง จึงถือเอาเง่าบัว ของฤาษีที่ฝั่งแม่น้ำ แล้วเก็บไว้บนบก. ฤาษี ทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ลามก ย่อมอาศัยอยู่. ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ นี่เง่าบัวของท่าน. พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงต่อว่าท้าวสักกะ ว่า:-
ท่านเทวราชผู้เป็นท่าวสหัสนัยน์ พวก อาตมาไม่ใช่นักฟ้อนรำของท่าน ไม่ใช่ผู้ควร จะฟังเล่นของท่าน ไม่ใช่ญาติของท่าน ไม่ใช่ สหายของท่าน ที่พึงทำการรื่นเริง ท่านอาศัย ใครจึงเล่นกับพวกฤาษี.
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 426
ลำดับนั้นท้าวสักกะทรงขอให้ฤาษีนั้นยกโทษให้ ด้วย พระดำรัสว่า :- ข้าแต่ท่านผู้เป็นดังพรหม ท่านเป็น อาจารย์ของข้าพเจ้า และเป็นบิดาของข้าพเจ้า เงาเท้าของท่านนี้ จงเป็นที่พึ่งแห่งความผิด พลาดของข้าพเจ้า ท่านผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ขอท่านจงอดโทษสักครั้งเถิด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่มีความโกรธเป็นกำลัง. พระมหาสัตว์ได้ยกโทษให้แก่ท้าวสักกเทวราชแล้ว ตน เองเมื่อจะยังหมู่ฤาษีให้ยกโทษให้ จึงกล่าวว่า :- การอยู่ในป่าของพวกฤาษี แม้คืนเดียว เป็นการอยู่ที่ดี พวกเราได้เห็นท้าววาสวะภูตบดี ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงดีใจเถิด เพราะพราหมณ์ ใดได้เง่าบัวคืนแล้ว. ในบทเหล่านั้น บทว่า น เต นฏา ความว่า ท่าน เทวราช พวกอาตมามิใช่นักฟ้อนรำของท่าน หรือมิใช่ผู้อัน ใครๆ จะพึงล้อเล่น มิใช่ญาติของท่าน มิใช่สหายของท่าน ที่ควรทำการร่าเริง. เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอาศัยใคร คือใคร เป็นผู้อุปถัมภ์ อธิบายว่า ท่านเล่นกับพวกฤาษีเพราะ
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 427
อาศัยอะไร. บทว่า เอสา ปติฏฺ?า คือเงาเท้าของท่านนี้จง เป็นที่พึ่งแห่งความผิดพลาดของข้าพเจ้าในวันนี้เถิด. บทว่า สุวาสิต? ความว่า การอยู่ในป่านี้แม้เพียงคนเดียวของพวก ฤาษี เป็นการอยู่ดีแล้ว เพราะเหตุไร? เพราะพวกเราได้เห็น ท้าววาสวะภูตบดี หากว่าพวกเราอยู่ในนคร พวกเราก็จะไม่ เห็นท้าววาสวะนี้. บทว่า โภนฺโต คือท่านผู้เจริญทั้งหลาย. แม้ทั้งหมดจงดีใจ คือจงยินดี จงยกโทษให้แก่ท้าวสักก เทวราชเถิด เพราะเหตุไร? เพราะอาจารย์ของเราได้เง่าบัว แล้ว ท้าวสักกะทรงไหว้หมู่ฤาษีแล้วกลับสู่เทวโลก. แม้หมู่ ฤาษียังฌานและอภิญญาให้เกิด แล้วได้ไปสู่พรหมโลก. น้องชายทั้ง ๖ คน มีอุปกัญจนะเป็นต้น ในครั้งนั้น ได้ เป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระ อนุรุทธะ และพระอานนทเถระ ในครั้งนี้. น้องสาว คือนาง อุบลวรรณา. ทาสี คือนางขุชชุตตรา. ทาส คือจิตตคฤหบดี. รุกขเทวดา คือสาตาถิระ. ช้าง คือช้างปาลิไลยยะ. วานร คือมธุวาสิฏฐะ. ท้าวสักกะ คือกาฬุทายี. มหากัญจนดาบส คือพระโลกนาถ. แม้ในจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมี ๑๐ ของพระ โพธิสัตว์โดยนัยดังที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึง ประกาศคุณานุภาพ มีความไม่คำนึงถึงในกามทั้งหลาย เป็นต้น ส่วนเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาภิงสจริยาที่ ๔