ไหน.....ใครว่าใหญ่ค่ะ?
แท้ที่จริง เราเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในจักรวาลเท่านั้น
กายที่ว่าใหญ่โตนักหนา
เมื่อแตกทำลายไปก็ไม่ต่างอะไรกับ....ผงธุลี
ไม่เหลืออะไรไว้ให้ยึดถือได้อีก
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นค่ะ
ขออนุโมทนาท่านผู้โพสท์ที่ได้นำภาพการเปรียบเทียบนี้มาให้ดู เป็นการเตือนตนเองได้อย่างดีครับ วันหนึ่งๆ เราหลงไปกับความยึดถือในความเป็นตัวตน ในลาภ ในยศในสักการะทั้งหลาย เพลินไปกับโลภะ โทสะ และความไม่รู้ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ดังฝุ่นธุลีในอากาศ ถูกกระแสลมคือโลภะนั้นพัดล่องลอยไร้จุดหมาย หาสาระอันใดมิได้เลย พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ฝุ่นธุลีนี้ได้มีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว เพื่อข้ามพ้นห้วงกระแสกิเลสอันเชี่ยวกรากนี้ได้ในวันหนึ่ง แม้จะแสนไกลก็อุ่นใจเมื่อมีธรรม
ใครดีกว่าตัวเรา สงสารเสียจริงเสียจัง รักอะไรก็ไม่เท่ารักตัวเอง
มงคลสูตรข้อที่ ๓........บูชาผู้ที่ควรบูชา........นี้เป็นอุดมมงคล
(หมายถึงบูชาในคุณธรรมของผู้นั้น)
ไม่ทราบว่า....พระราหูคือใคร? มีคุณธรรมเช่นใด? แล้วบูชาเพื่ออะไรค่ะ?
เทียบกับระบบสุริยะเดียว...ความเป็นเราที่แสนใหญ่...ยังเหลือขนาดเล็กเพียงเท่านี้
เกรงว่า...ขนาดหนึ่งเศษธุลี...ก็น่าจะยังใหญ่ไปค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
จริงค่ะ, เพราะหน่วยที่เล็กที่สุดของรูปก็คือ "กลาป"
เมื่อหลายๆ กลาปมารวมกัน ก็บัญญัติขึ้นมาเป็นคน สัตว์ วัตถุ
ที่ว่าใหญ่แสนใหญ่ก็กลายเป็นเพียงแค่...กลาปได้
หากมองในมุมกลับ แม้จะเห็นด้วยตาว่าโลก (โอกาสโลก) และ "ตัวเรา" เป็นเหมือน
ฝุ่นผงเล็กๆ ในจักรวาล แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะละการยึดมั่นในความเป็นตัวตนได้
อยู่ดี เพราะถึงจะเล็กแสนเล็ก น่าดูหรือไม่น่าดูอย่างไร ตัวเรานี้ก็ยังเป็นสิ่งที่น่ารัก
น่าชอบใจของเราที่สุดครับ
ความเป็น "เรา" ถึงได้ยิ่งใหญ่ไงค่ะ
ไม่ว่าจะด้วยอำนาจของ........ตัณหา มานะ หรือทิฎฐิ
ทุกๆ ขณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ด้วยกิเลส
ที่สะสมมาเนิ่นนานจึงยึดสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แท้จริงแล้วไม่
มีเราแม้ขณะเดียว มีแต่จิต เจตสิก และรูปที่เกิดดับสืบต่ออย่างไม่ขาดสาย
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ควรหรือที่จะยึดถือว่าเป็นเรา... กายนี้ที่ยึดถือว่าเป็นกายของเรา ที่แท้ก็เป็นเพียงรูปที่เกิดจากสมุฎฐานทั้ง ๔ เมื่อจุติจิต
เกิด...ตายจากภพชาตินี้...รูปต่างๆ ก็ดับหมดเว้นแต่อุตุชรูปซึ่งก็คือ...ผงธุลี
ไหน.....ใครว่าใหญ่ค่ะ?
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระมหากรุณาคุณของพระพุทธองค์แท้ๆ
จึงมีการสนทนากันเรื่องความใหญ่ เป็นเรา ไม่เป็นเรา
ทั้งที่ก็พอจะเข้าใจจากการฟังเรื่องราวของธรรมะว่า
ทั้งหมดเป็นเพียงแต่เพียงจิต เจตสิก และรูป
แต่ความยึดถือว่าเป็นเราก็ยังมีอยู่เต็ม ข้าพเจ้าเองก็ยึดอยู่เต็มเหนี่ยว
ท่านว่า ยิ่งศึกษาและเข้าใจมากขึ้นเท่าไหร่
ความเป็นเราก็จะยิ่งเล็กลงเท่านั้น
สงสัยจะยังไม่เข้าใจ เพราะยังรู้สึกว่าตัวข้าพเจ้าใหญ่มากอยู่เลย
ขอบคุณและขออนุโมทนา
ตอบ ความคิดเห็นที่ 7 คติความเชื่อขับเคลื่อนสังคม ใครรับผิดชอบปัญญาของสังคม
ไหน.....ใครว่าใหญ่ ท่านว่าตัวกูของกู พระอาทิตย์ที่ว่าใหญ่ไม่สามารถขจัดให้หมดไปฉันใด ความคิดของคนที่ไม่ได้เรียนธรรม ก็ไม่สามารถขจัดให้หมดไปฉันนั้นความคิดจึงยิ่งใหญ่พอๆ กับพระอาทิตย์ ขจัดความคิดได้ก็รอดตาย ครับ
ตอบ ความคิดเห็นที่ 7 คติความเชื่อขับเคลื่อนสังคม ใครรับผิดชอบปัญญาของสังคม
สังคมคือหมู่สัตว์ คติความเชื่อคือทิฎฐิ
ใครจะไปรับผิดชอบชืวิตของใครได้ นอกจากเกื้อกูลกันไปตามเหตุตามปัจจัยตามควร
เพราะยังไง.........สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมค่ะ
ใหญ่หรือไม่ใหญ่..เป็นแค่ความคิดเราใหญ่ (มีอำนาจเป็นผู้ยิ่งใหญ่) ..จริงๆ คนอื่นอาจมองว่าเล็ก (ไม่มีอำนาจเป็นผู้ยิ่งใหญ่) ความเป็นผู้มีอำนาจหรือความยิ่งใหญ่..ไม่คงที่เป็นไปตามโลกธรรมแปดแต่ตัวใหญ่ (อ้วน) เหมือนจะคงที่กว่า..จนคล้ายว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดดับ..เลย..ยย
เชิญคลิกอ่าน...ความเข้าใจสภาพธรรม ๐๑ ...... โลกธรรม ๘ ประการ
ขออนุโมทนาค่ะ
เพราะไม่รู้ความจริง และติดข้อง
จึงต้องอบรมปัญญาเพื่อเห็นถูก เข้าใจถูกในความจริง
ขออนุโมทนา
ไตรสรณคมน์
ความคิดเห็นที่ 18 แล้วประเทศชาติ ศาสนา สมณชีพราหมณ์ และประชาชนจะอยู่ได้อย่างไรเล่า จะด่วนหนีไปเป็นฤาษีชีไพรในป่าในเขากันหรือกระไรศาสนา และสาวกผู้เจริญควรตระหนักในการสร้างปัญญา อารยะชนพึงจรรโลงประเทศชาติ คุณไตรสรณคมน์ก็จรรโลงสังคมอยู่ใช่หรือมิใช่เล่าขออนุโมทนาครับ
ท่านจำแนกลองกลับไปอ่าน ความเห็น ที่ ๑๘ อีกที่นะคะ........
" เกื้อกูลกันไปตามเหตุตามปัจจัยตามควร " เข้าใจประโยคนี้ว่าอย่างไรค่ะ?
เรียนคุณจำแนกไว้ดีจ๊ะ ขอสนทนาด้วยคนค่ะ ที่คุณกล่าวว่า
คติความเชื่อขับเคลื่อนสังคม ใครรับผิดชอบปัญญาของสังคม
>>เพราะความไม่รู้ เพราะความเห็นผิดจากความเป็นจริง จึงต้องวนเวียนอยู่ในวัฎฎะ
................................
แล้วประเทศชาติ ศาสนา สมณชีพราหมณ์ และประชาชนจะอยู่ได้อย่างไรเล่า จะด่วนหนีไปเป็นฤาษีชีไพรในป่าในเขากันหรือกระไรศาสนา และสาวกผู้เจริญควรตระหนักในการสร้างปัญญา อารยะชนพึงจรรโลงประเทศชาติ คุณไตรสรณคมน์ก็จรรโลงสังคมอยู่ใช่หรือมิใช่เล่า
>>ถ้าหากว่า สมณชีพราหมณ์ และประชาชน ได้มาศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจถูก
เห็นถูกในสภาพธรรมความจริงทั้งหลาย ว่าเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ต้องหนีไปในป่า
ค่ะ อยู่กับชีวิตประจำวันเป็นปกติด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูกในพระสัทธรรม ศาสนา
สอนให้รู้ความจริงในสิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฎในชีวิตประจำวันค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
ใหญ่อย่างเป็นประโยชน์ก็ ดี
เล็กอย่างเป็นประโยชน์ก็ ดี
มีก็มีให้เป็น
ไม่มีก็ไม่มีให้เป็น
เมื่อมีใหญ่ก็มีเล็ก
เมื่อมีเล็กก็มีใหญ่
เกิดแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ก็หมดไป
อนัตตา
ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุและผลเสมอ
..........................................
ใหญ่อย่างเป็นประโยชน์ก็ ดี
เล็กอย่างเป็นประโยชน์ก็ ดี
มีก็มีให้เป็น
ไม่มีก็ไม่มีให้เป็น
เมื่อมีใหญ่ก็มีเล็ก
เมื่อมีเล็กก็มีใหญ่
เกิดแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ก็หมดไป
อนัตตา
ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุและผลเสมอ
..........................................
เล็กก็ดี ใหญ่ก็ดี......มีจริงหรือ?
เป็นบัญญัติ หรือปรมัตถ์ค่ะ?
สาธุ
กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.
ปรมัตถ์ (จิต เจตสิก รูป) และบัญญัติ ก็ยังมีเชื้อเหลือปัจจัย กรรมสั่งสมในจิต ส่วนที่อาศัยรูปทวารในภพก็มี ส่วนที่ไม่อาศัยทวารในภพก็มี จุติจิต ปฏิสนธิจิตนี้แหละที่ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจในภพ กรรมจึงตามไปในวัฏสงสาร ความดับเสียได้ด้วยเหตุนิพพานนั้น เป็นประการใด ดับสัญญาเจตสิกใช่ไหม?
กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.
(ผมชอบข้อความนี้อะครับ)
ขออนุโมทนา คุณ suwit02 ครับผม
แต่ที่ผมเข้ากระทู้นี้ เพราะว่ามีผู้อ่าน สามร้อยกว่า ...... 29 ความเห็น
และเป็นกระทู้ของอุบาสิกาผู้ให้ธรรมเป็นทานทางสถานีวิทยุในกรุงเทพฯ
("รายการแนวทางเจริญวิปัสสนา") มากกว่า 1 สถานี ด้วยครับ
สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ
(การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะการให้ทั้งปวง)
กราบอนุโมทนาครับ
พระปัญญาตรัสรู้ ของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมใหญ่ยิ่งจนหาที่สุดมิได้
ยิ่งกว่าสิ่งที่หาที่สุดมิได้ทั้งหลาย
^
^
นานๆ จะเข้ามาที.....มีแซวนะ ;D
มิน่า..... 3 วันที่ผ่านมารู้สึกหนังตากระตุก (555)
ข้าน้อยต้องขอกราบอนุโมทนา มูลนิธิฯ และสหายธรรมแนวร่วมมากกว่าค่ะ ที่ได้เปิด
โอกาสให้ธรรมทานนี้เกิดขึ้นเป็นไปและสำเร็จลงด้วยดี
ขอกราบบูชาพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการช่วยเผยแพร่พระธรรม
รัตนะอันมีค่ายิ่งนี้......จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย จนกว่าชีวิตจะหาไม่ค่ะ
ปรมัตถ์ (จิต เจตสิก รูป) และบัญญัติ ก็ยังมีเชื้อเหลือปัจจัย กรรมสั่งสมในจิต ส่วนที่อาศัยรูปทวารในภพก็มี ส่วนที่ไม่อาศัยทวารในภพก็มี จุติจิต ปฏิสนธิจิตนี้แหละที่ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจในภพ กรรมจึงตามไปในวัฏสงสาร ความดับเสียได้ด้วยเหตุนิพพานนั้น เป็นประการใด ดับสัญญาเจตสิกใช่ไหม?
เพราะความดับแห่งอวิชชาเท่านั้นค่ะ
เหตุปัจจัยทั้งหลายที่จะปรุงแต่งให้เกิดต่อไปก็ดับไปด้วย
ภาพประกอบนี้ทำให้ละคลายความปรารถนาในชื่อเสียงและสรรเสริญ
มีอะไรที่ใหญ่กว่าโลกมนุษย์ใบนี้อีกมากมาย จนมองเห็นโลกเป็นแค่จุดๆ เดียว
โลกของชื่อเสียงและสรรเสริญ เล็กน้อยยิ่งกว่านั้น
ขออนุโมทนาทุกท่านครับ
ไตรสรณคมน์. ความคิดเห็นที่ 32.
อวิชชาอยู่ที่ไหน ดับอย่างไรครับ?
ไตรสรณคมน์. ความคิดเห็นที่ 32.
อวิชชาอยู่ที่ไหน ดับอย่างไรครับ?
ดับความไม่รู้....ด้วยความรู้
ความรู้เกิดเมื่อไหร่.....ก็จะเห็นความไม่รู้เองค่ะ