อาทีนวญาณ [อรรถกถาอาทีนวญาณุทเทส]
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑- หน้าที่ 56
๘. อรรถกถาอาทีนวญาณุทเทส
ว่าด้วยอาทีนวญาณ
คำว่า ภยตูปฏฺเน ปญฺญา มีความว่า ปัญญาในการปรากฏขึ้นแห่งอุปปาทะความเกิด ปวัตตะความเป็นไป นิมิตเครื่องหมาย อายูหนาการประมวลมา และปฏิสนธิการเกิดในภพใหม่ โดยความเป็นภัยคือในการเข้าไปยึดถือว่ามีภัยปรากฏอยู่เฉพาะหน้า โดยการประกอบด้วยความเบียดเบียนอยู่เนืองๆ ย่อมปรากฏโดยความเป็นภัย ฉะนั้น จึงชื่อว่า ภยตูปัฏฐาน คืออารมณ์. ปัญญา ในภยตูปัฏฐานนั้น
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภยตูปัฏฐาน คือปัญญา เพราะอรรถว่า ปรากฏโดยความเป็นภัย คำนั้นย่อมเป็นคำอธิบาย อันท่านกล่าวแล้วว่า ภยตูปัฏฐาน
คำว่า อาทีนเว าญํ เป็นภุมมวจนะ คือ สัตตมีวิภัตติ เพราะพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น คือ ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นภัย ๑ อาทีนวญาณ ๑ นิพพิทาญาณ ๑ มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ๑. แม้จะกล่าวเพียงคำเดียว (ญาณเดียว) ก็ย่อมเป็นอันกล่าวทั้ง ๓ โดยประเภทแห่งการกำหนด ดุจมุญจิตุกัมยตาญาณเป็นต้น ฉะนั้น แม้ไม่กล่าวว่า เมื่อภยตูปัฏฐานและอาทีนวานุปัสสนา สำเร็จแล้ว นิพพิทานุปัสสนา ก็ย่อมสำเร็จ ดังนี้ ก็พึงทราบว่า เป็นอันกล่าวแล้วทีเดียว
สังขารทั้งหลาย อันจำแนกไว้ในภพ ๓ กำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ ย่อมปรากฏเป็นมหาภัยแก่พระโยคบุคคลผู้เสพอยู่ เจริญอยู่ กระทำให้มากอยู่ซึ่งภังคานุปัสสนา มีความดับไปแห่งสังขารทั้งปวงเป็นอารมณ์ เหมือนอย่างสีหะ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี เสือดาว ยักษ์ รากษส โคดุ สุนัขดุ ช้างซับมันดุ งูดุ ฟ้าผ่า ป่าช้า สมรภูมิ หลุมถ่านเพลิงที่คุกรุ่น เป็นต้น ย่อมปรากฏเป็นภัยใหญ่แก่บุรุษผู้กลัวภัยใคร่มีชีวิตอยู่เป็นสุข ภยตูปัฏฐานญาณย่อมเกิดขึ้นได้ในฐานะนี้แก่พระโยคีบุคคลผู้เห็นอยู่ว่า สังขารทั้งหลายในอดีตก็ดับไปแล้ว ในปัจจุบันก็กำลังดับ ถึงแม้ในอนาคตก็จักดับไปอย่างนี้เหมือนกัน
ในภพ กำเนิด คติ ฐิติ และสัตตาวาสทั่วทุกแห่งหน ที่ต้านทาน ที่ซ่อนเร้น ที่ไป ที่พึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเลยแก่พระโยคี บุคคลผู้เสพอยู่เจริญอยู่กระทำให้มากอยู่ ซึ่งภยตูปัฏฐานญาณนั้น ความปรารถนาก็ดี ความถือมั่นก็ดี ย่อมไม่มีในสังขารทั้งหลายอันมีในภพ กำเนิด คติ ฐิติ นิวาสะ แม้สักสังขารเดียว
ภพทั้ง ๓ ปรากฏดุจหลุมถ่านเพลิงที่เต็มด้วยถ่านเพลิงไม่มีเปลว
มหาภูตรูป ๔ ปรากฏดุจอสรพิษที่มีพิษร้าย
ขันธ์ ๕ ปรากฏดุจเพชฌฆาตที่กำลังเงื้อดาบ
อัชฌัตติกายตนะ ๖ ปรากฏดุจเรือนว่างเปล่า
พาหิรายตนะ ๖ ปรากฏดุจโจรปล้นชาวบ้าน
วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ ปรากฏดุจถูกไฟ ๑๑ กองลุกเผาอยู่โชติช่วง
สังขารทั้งหลายทั้งปวงปรากฏแก่ผู้นั้นเหมือนเป็นฝี เป็นโรค เป็นลูกศร เป็นไข้ เป็นอาพาธ ปราศจากความแช่มชื่น หมดรส เป็นกองแห่งโทษใหญ่ เป็นเหมือนป่าชัฏที่มีสัตว์ร้าย แม้จะตั้งขึ้นโดยอาการที่น่ารื่นรมย์แก่บุรุษผู้กลัวภัย ใคร่จะมีชีวิตอยู่เป็นสุข เป็นเหมือนถ้ำที่มีภูเขาไฟพ่นอยู่ เป็นเหมือนสระน้ำที่มีรากษสสิงสถิตอยู่ เป็นเหมือนข้าศึกที่กำลังเงื้อดาบขึ้น เป็นเหมือนโภชนะที่เจือด้วยยาพิษ เป็นเหมือนหนทางที่เต็มไปด้วยโจร เป็นเหมือนเรือนที่ไฟติดทั่วแล้ว เป็นเหมือนสนามรบที่เหล่าทหารกำลังต่อยุทธกัน
เหมือนอย่างว่า บุรุษนั้นอาศัยภัยมีป่าชัฏที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเป็นต้นเหล่านี้ กลัวแล้ว ตกใจแล้ว ขนลุกชูชัน ย่อมเห็นโทษอย่างเดียวรอบด้าน ฉันใด พระโยคาวจรนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นเมื่อสังขารทั้งปวงปรากฏแล้ว โดยความเป็นภัยด้วยอำนาจภังคานุปัสสนา ก็ย่อมเห็นแต่โทษอย่างเดียวปราศจากรสหมดความแช่มชื่นอยู่รอบด้าน. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ย่อมเกิดขึ้นแก่พระโยคีบุคคลนั้นผู้เห็นอยู่อย่างนี้.
พระโยคีบุคคลนั้น เมื่อเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นโทษอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย กระวนกระวาย ไม่ยินดีในสังขารทั้งหลาย อันมีประเภทในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ และสัตตาวาสทั้งปวง. เหมือนอย่างว่าพญาหงส์ทองผู้ยินดีเฉพาะเชิงเขาจิตรกูฏ ย่อมไม่ยินดีบ่อน้ำแถบประตูบ้านคนจัณฑาลซึ่งไม่สะอาด ย่อมยินดีเฉพาะสระใหญ่ทั้ง ๗ เท่านั้น ฉันใด พญาหงส์คือพระโยคีนี้ ย่อมไม่ยินดีสังขารอันมีประเภทต่างๆ ล้วนแล้วด้วยโทษอันตนเห็นแจ่มแจ้งแล้ว แต่ย่อมยินดียิ่งในอนุปัสสนา ๗ เท่านั้น เพราะยินดีในภาวนา คือเพราะประกอบด้วยความยินดีในภาวนาก็ฉันนั้นเหมือนกัน. และเหมือนสีหะมิคราชาถูกจับขังไว้ แม้ในกรงทองก็ไม่ยินดี แต่ย่อมยินดีในหิมวันตประเทศอันกว้างใหญ่ถึง ๓,๐๐๐ โยชน์ ฉันใด สีหะคือพระโยคีบุคคลแม้นี้ย่อมไม่ยินดีแม้ในสุคติภพทั้ง ๓ แต่ย่อมยินดีในอนุปัสสนา ๓ เท่านั้น
อนึ่ง เหมือนพญาช้างฉัททันต์ เผือกผ่องทั้งตัว มีที่ตั้งดี ๗ สถานมีฤทธิ เหาะไปในเวหาส ย่อมไม่ยินดีในใจกลางพระนคร แต่ย่อมยินดีในสระใหญ่ชื่อฉัททันต์เท่านั้น ฉันใด พระโยคีบุคคลเพียงดังช้างตัวประเสริฐนี้ ย่อมไม่ยินดีในสังขารธรรมแม้ทั้งปวง แต่ย่อมยินดีในสันติบทคือพระนิพพานเท่านั้น อันเท่าแสดงแล้วโดยนัยเป็นต้นว่าการไม่เกิดขึ้น เป็นการปลอดภัย ๑ มีใจน้อมไปโน้มไปเงื้อมไปในสันติบทคือพระนิพพานนั้น. นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมเป็นอันเกิดขึ้นแล้วแก่พระโยคีนั้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ด้วยประการฉะนี้.