สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงดำรงอยู่ด้วยอาหาร
[เล่มที่ 16] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 270
สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ดำรงอยู่ด้วยอาหาร
คำว่า สพฺเพ สตฺตา หมายถึง สัตว์ทั้งปวงในภพทั้งปวง เช่น ในกามภพ เป็นต้น ในสัญญีภพ เป็นตัน และในเอกโวการภพเป็นนั้น.
คำว่า อาหารฎฐิติกา มีบทนิยามว่า สัตว์เหล่านั้นดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร ดังนั้น จึงชื่อว่า อาหารฏฺฐิติกา ผู้ดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร อาหารย่อมเป็นเหตุแห่งการดำรงอยู่ได้แห่งสรรพสัตว์ ด้วยประการดังนี้.
พระเถระแสดงความหมายว่า "ท่านทั้งหลาย ธรรมหนึ่ง คือ สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้เพราะอาหารนี้ พระศาสดาของเราทั้งหลาย ทรงทราบตามความเป็นจริงแล้ว ได้ตรัสไว้เป็นอันถูกต้อง".
ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ คำที่ตรัสไว้ว่า "เทพจำพวกอสัญญสัตตะ เป็นอเหตุกะ ไม่มีอาหาร ไม่มีผัสสะ" ดังนี้เป็นต้น จะมิเป็นอันคลาดเคลื่อนไปละหรือ. ไม่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้เพราะเทพพวกนั้นก็มีฌานเป็นอาหาร. ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้คำที่ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าอาหารเพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว หรือ เพื่อการตามประคับประคองพวกสัมภเวสีทั้งหลาย มีอยู่ ๔ อย่าง
๔ อย่างอะไรบ้าง
๑. กพฬิงการาหาร จะหยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
๒. ผัสสาหาร
๓. มโนสัญเจตนาหาร
๔. วิญญาณาหาร
ดังนี้ ก็คลาดเคลื่อน. แม้คำนี้ก็ไม่คลาดเคลื่อน. เพราะว่าในพระสูตรนั้น ตรัสธรรมทั้งหลาย ที่มีลักษณะเป็นอาหารโดยตรงนั่นแลว่า "อาหาร". แต่ในที่นี้ตรัสเรียกปัจจัยโดยอ้อมว่า "อาหาร" จริงอยู่ ปัจจัยควรจะได้แก่ ธรรมทั้งปวง. และปัจจัยนั้น ยังผลใดๆ ให้เกิด ก็ย่อมชื่อว่านำมาซึ่งผลนั้นๆ เพราะฉะนั้น จึงเรียกได้ว่า อาหาร. ด้วยเหตุนั้นแล จึงตรัสไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้อวิชชา เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิใช่ไม่มีอาหาร,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารของอวิชชา, ควรจะกล่าวนิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของอวิชชา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้นิวรณ์ ๕ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิใช่ไม่มีอาหาร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรจะกล่าวว่า อโยนิโสมนสิการ เป็นอาหารของนิวรณ์ ๕" ดังนี้
อาหารคือปัจจัยนี้ ประสงค์เอาในพระสูตรนี้. ก็เมื่อถือเอาปัจจัยเป็นอาหารอย่างหนึ่งแล้ว ก็ย่อมเป็นอันถือเอาทั้งหมด ทั้งอาหารโดยอ้อม ทั้งอาหารโดยตรง. ในอสัญญภพนั้น ย่อมได้ปัจจัยอาหาร.
ท่านกล่าวคำนี้ไว้แล้วมิใช่หรือว่า "ปัจจัยคืออาหาร" เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นเกิดในนรกด้วยกรรมใด กรรมนั้นนั่นเองจัดว่าเป็นอาหาร เพราะเป็นปัจจัยแห่งความดำรงอยู่ของสัตว์เหล่านั้น ดังที่ตรัส มุ่งหมายถึงไว้ว่า "จะยังไม่สิ้นชีวิตตราบเท่าที่บาปกรรมอันนั้น ยังไม่หมดสิ้น". และในที่นี้ไม่ควรจะต้องโต้เถียงกัน ด้วยเรื่องกพฬิงการาหาร. เพราะแม้แต่น้ำลายที่เกิดในปาก ก็ยังให้สำเร็จกิจในเชิงอาหารแก่สัตว์เหล่านั้นได้.
จริงอยู่ น้ำลายนั้น ในนรกนับว่าเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ในสวรรค์นับว่าเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา จัดว่าเป็นปัจจัยได้.
ดังนั้น ในกามภพโดยตรงมีอาหาร ๔ อย่าง ในรูปภพและอรูปภพ ยกเว้นอสัญญสัตตะ ที่เหลือนอกนั้น มีอาหาร ๓ อย่าง, สำหรับอสัญญสัตตะ และเทพอื่นๆ (นอกจากที่กล่าวแล้ว) มีอาหารคือปัจจัยอาหาร ด้วยประการดังนี้.
พระเถระกล่าวปัญหาข้อหนึ่งว่า สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร ด้วยอาหาร ตามที่แสดงมานี้แล้ว ได้แก้ไขปัญหาข้อที่ ๒ ว่า "สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะสังขาร" ดังนี้ โดยมิได้กำหนด