ผมขับรถชนคนตายเมื่อสามวันที่แล้ว ยังสับสนอยู่ครับ
ผมขับรถชนคนข้ามถนนโดยไม่เจตนา เนื่องจากเค้ากระโดดลงมาจากที่มืดและสติ
เหลือน้อยเนื่องจากเมาสุรา ในขณะที่ผมมีสติเต็มที่ ผมมีความกังวลในจุดดังต่อไปนี้ครับ
เนื่องจากผมศึกษาธรรมมะมาจากคุณพ่อ และได้ทราบมาว่า การที่จะทำบาปได้อย่าง
สมบูรณ์ต้องมี 5 ประการ คือ 1. สัตว์นั้นมีชีวิต 2. รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 3.มีจิตคิดจะฆ่า
4. กระทำการฆ่า 5. สัตว์ตายด้วยการกระทำนั้น และได้รู้อีกว่า การที่จะขึ้นชื่อว่าบาปหนัก
หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าสัตว์นั้นมีคุณหรือประโยชน์มากหรือไม่ จากสองจุดนี้ คือผมไม่มีจิตคิด
จะฆ่า แต่ได้รู้ว่าคนๆ นั้นมีชีวิตและได้กระทำการฆ่าและคนๆ นั้นได้ตายโดยการกระทำของ
ผม และคนๆ นั้นคือมนุษย์ซึ่งมีภูมิเหนือกว่าสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งเป็นประเภทมีคุณ ผมสับสน
และกังวลต่อกรรมที่ได้ทำลงไป เพราะเนื่องจากโดยปกติแล้ว ผมจะกลัวต่อการทำบาป
มดซักตัวยังไม่ฆ่า และกำลังหาคำตอบอยู่ว่า สิ่งที่ผมลงไปนั้นมันเป็นบาปหนักหรือไม่เพราะ
เป็นการเอาชีวิตและเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น โดยที่ผู้นั้นคือมนุษย์ครับ
ตามหลักพระธรรมเรื่องกรรมมีอยู่ว่า การกระทำใดจะเป็นกรรมบถ (บาป) อยู่ที่เจตนาตามหลักฐานและเหตุการณ์ที่ท่านเล่ามา เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครต้องการให้เป็น
เช่นนั้น ดังนั้นตามหลักของพระธรรม การขับรถชนสุนัข ทับกบ คางคก งู หรือชนคน
ตาย โดยไม่มีเจตนา ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ ไม่เป็นบาป ไม่มีวิบากครับ ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ ..
ตอนเด็กๆ เวลาที่ข้าพเจ้าสับสน เดือดร้อนใจในบางเรื่อง แล้วเล่าให้คุณพ่อฟังคุณพ่อท่านจะสอนว่า.....
"ถ้าเชื่อเรื่องกรรมจริงๆ ....จะไม่โทษใคร "
.
ต่อมามีโอกาสได้ฟังการบรรยายธรรมจากท่าน อ. สุจินต์ท่านสอนตามที่พระพุทธเจ้าสอน ว่า
"ทุกชีวิต มีกรรมเป็นของของตน ซึ่งเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน.
การได้ประสบกับสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจเป็นผลจากกรรมในอดีตที่ บุคคลนั้นๆ เอง...ได้เคยกระทำไว้.การได้ประสบกับสิ่งที่ดี ที่น่าพอใจก็เป็นผลจากกรรมในอดีต ที่บุคคลนั้นๆ เอง ได้กระทำไว้....ที่สำคัญ คือ ไม่ประมาท...ในการกระทำใดๆ ที่กำลังจะทำต่อไปเพราะนั่นคือ "เหตุ" ที่จะให้ "ผล" ต่อไปในอนาคต.ซึ่งถ้าเป็นการกระทำที่ดี ต้องให้ผลที่ดีถ้าเป็นการกระทำที่ไม่ดี ต้องให้ผลไม่ดีแน่นอน...ฯลฯ"
เป็นต้น.
ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับ "เรื่องของกรรม" มีมากมายหลายนัย.เช่น"สัตว์โลก เป็นที่ดูผลของบุญและบาป"
เป็นต้น.
.............................สำหรับความเข้าใจที่ได้...จากที่ฟังจากท่านอาจารย์สุจินต์ คือ
ขณะที่กำลังเดือดร้อนใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วนั้นเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คน มักจะเป็นเช่นนั้น...ตามการสะสมบางคนก็เดือดร้อนน้อย บางคนก็เดือดร้อนมาก...ฯลฯ
และความเดือดร้อนนี้เอง จะเป็นเหตุให้หาทางออกต่างๆ เพื่อความสบายใจซึ่งแล้วแต่เหตุ-ปัจจัย ตามการสะสมของแต่ละคน อีกเช่นกัน...ว่าจะ แก้ไขปัญหาด้วย ความเห็นถูก หรือ ความเห็นผิด.!
แต่ความจริงก็คือว่าความเดือดร้อนใจนั้น ไม่มีประโยชน์ แต่เป็นโทษเพราะเป็นการสะสมอกุศลจิต อันเป็นเหตุ...คือหากสะสมไว้มากๆ จนมีกำลัง...ก็เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดการกระทำที่ผิดๆ เพราะความไม่รู้บ้าง เพราะขาดกัลยาณมิตร ผู้ที่แนะนำในทางที่ถูก ฯลฯซึ่งก็จะเป็นเหตุไม่ดี ที่จะเป็นผลที่ไม่ดี ในอนาคตต่อๆ ไป.
.
ไม่ทราบว่าท่านเคยสังเกตหรือไม่ ว่าบ่อยครั้ง ในชีวิตที่ผ่านมา..............
เราไม่มีทางที่จะ บังคับบัญชาอะไรได้เลย...แม้แต่จิตใจของเราเอง
ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์....ทุกคนอยากมีแต่ความสุข ความสบายใจตามวิถีชีวิต ของแต่ละคน ที่ไม่เหมือนจริงๆ เลยสักคน.!จริงๆ แล้ว เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ.?แล้วคุณพีรพล เคยสงสัย ถึงสาเหตุที่แท้จริง หรือเปล่าคะ.?ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น.!
(ข้าพเจ้าเอง...ก็กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน ค่ะ.)
ในพระไตรปิฏกมีแสดงไว้ นายพรานโกกะ คิดว่าวันไหนเห็นพระภิกษุ วันนั้นจับสัตว์ไม่ได้ ก็เลยไม่ชอบพระภิกษุ ว้นหนึ่งเจอพระภิกษุก็เอาสุนัขไล่กัดพระภิกษุ พระภิกษุหนึขึ้นไปบนต้นไม้ นายพรานก็เอาหอกแทงภิกษุ จีวรภิกษุหล่นลงมาคลุมหัวนายพราน
สุนัขคิดว่าเป็นพระภิกษุก็รุมกัดกินจนตาย ภิกษุเดือดร้อนใจคิดว่าศีลของเราคงขาด ก็เลยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าศีลของเธอไม่ขาด ภิกษุนั้นได้ฟังธรรม
จากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบันค่ะ
ขออนุโมทนาท่านกัลญาณมิตรทุกท่านครับ เข้าใจความรู้สึกของท่านผู้ตั้งกระทู้
ขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปด้วยดีครับ
อุบัติเหตุ ไม่มีเจตนา
เขาดื่มสุรา เป็นผู้ขาดสติ และมีกรรมเป็นของๆ ตน
ความมีหิริโอตตัปปะ ย่อมทำให้คุณคิดใคร่ครวญเรื่องนี้มาก
ตามที่คุณก็ทราบ บุพพเจตนา (มีจิตคิดจะฆ่า)
เป็นเบื้องแรกที่สำคัญของการกระทำ
แต่คุณไม่มีเจตนานั้น และมันผ่านไปแล้ว
แม้ว่าความทุกข์กังวลใจอย่างไรก็คงมีบ้าง
แต่ขอให้คุณมีกำลังใจเข้มแข็ง
เข้าใจมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมต่อไปนะคะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ดิฉันเองก็เคยมีประสบการณ์ทำนองเดียวกันนี้ เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ไม่ว่าจะเป็น
ฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายถูกกระทำก็ตาม ก็ย่อมเดือดร้อนวุ่นวายมากกว่าเรื่องราวจะเรียบร้อย
ตอนนั้นเพิ่งเข้ามาศึกษาธรรม ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ต้องเป็นเรา เพราะเราเคยทำ
อกุศลกรรมมาเอง ไม่มีใครทำให้เราเลย แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็แก้ไขปัญหาไป เป็น
เหตุการณ์หนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชาตินี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมั่นคงในเรื่องของกรรมและ
ผลของกรรมแล้ว ความเดือดร้อนเพราะความทุกข์ใจก็จะน้อยลง ทุกอย่างเป็นธรรมที่
เกิดขึ้นเพื่อให้เราได้พิจารณาศึกษาให้เห็นว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิด
ขึ้นแล้วเพราะมีเหตุปัจจัยที่เคยทำมาแล้วนั่นเอง
ขอเอาใจช่วยค่ะ กุศลจิตเท่านั้นที่จะทำให้เดือดร้อนน้อยลง กุศลจิตของคุณพีรพล
ที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ก็คือ ฟังธรรม ศึกษาธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ก็เป็นกุศลจิต ที่มีสภาพ
เบาสบาย ต่างกับอกุศลจิตที่เกิดจากความกลุ้มใจค่ะ
ไม่บาปหรอก เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่เกิดดับ
คนที่คุณชนตายก็คือ ธรรมะ เพราะฉะนั้น คุณไม่ผิดหรอก ไม่บาปหรอก อย่าคิดมาก
จากความเข้าใจ...เท่าที่ได้จากการศึกษา "พระธรรม"
.
บาป คือ อกุศลจิต.
ขณะที่เดือดร้อนใจ...ขณะนั้น บาป.
อกุศลจิต คือ บาป นั้นเอง...เป็นปัจจัย ให้เกิดการกระทำต่างๆ แล้วแต่ "ปัญญา" ซึ่งเป็นปัจจัย ให้กระทำในทางที่ถูก หรือ ผิดอันเป็น เหตุ ที่จะทำให้เกิด ผล...ในอนาคต.
เหตุดี ผล ต้องดีเหตุไม่ดี ผล ต้องไม่ดี
.
.
.
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิด-ดับ-สืบต่อ ตามเหตุ-ตามปัจจัย.
นอกจากนาม-รูป ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ.
สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน ....จึงไม่มี.!
แต่
ความรู้ ที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน นั้น
พระองค์ ทรงเตือน และ ทรงกำกับไว้เสมอ.!
เช่น
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้แต่ต้องเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย.
เป็นต้น.
เพื่อป้องกัน "ความเห็นผิด"ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เสมอ หาก ไม่พิจารณา ให้ดี.!
.
คน ที่คุณชนตาย ไม่มี ก็จริงแต่ กุศลจิต มี อกุศลจิต มี กุศลกรรม มี อกุศลกรรม ก็มี
เจตนา เกิดกับจิตทุกขณะเจตนา จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการกระทำทุกอย่างแต่ เจตนานั้น ไม่ใช่เจตนาฆ่า.?
แต่พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงสอนให้ประมาท ในทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ การศึกษาพระธรรม.!
.
ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่าผู้ศึกษาพระธรรม ทุกคน ไม่ควรประมาท ที่จะ พิจารณา พระพุทธวจนะ ให้ดี ค่ะ.
เรียนความเห็นที่ ๑๑ ต้องแยกกล่าวโดยนัยของสมมติด้วยว่า บาปบุญมีจริง เป็นธัมมะ
บาปบุญอยู่ที่จิต แต่เป็นธัมมะที่ควรเจริญหรือควรละ เดี๋ยวมิฉะนั้นการฆ่าสัตว์ ก็เป็น
ธัมมะ ไม่มีบาป อย่างนี้เข้าใจไม่ถูกต้องนะครับ และขออนุโมทนาความเห็นที่ ๑๒ ที่
จำแนกอย่างถูกต้องครับ
ความเข้าใจในพระธรรมเท่านั้น
ที่จะคลายความทุกข์ของเราได้อย่างแท้จริง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
มาฟังธรรมที่มูลนิธิจะได้พบกัลยาณมิตร
ที่นี่อบอวลด้วยกลิ่น รสของพระธรรม
ถ้าทุกข์กังวล สับสนเศร้าสร้อย
มาฟังธรรม... ให้ใจแช่มชื่น
ด้วยความเห็นใจคุณ peeraphon จริงๆ
ตอนนี้หลายวันแล้ว คงไม่สับสนแล้วใช่ไหมครับ
ไม่สับสนแล้วครับ ดีขึ้นตั้งแต่ได้มาอ่านบอร์ดนี้ครับ
คุณ peeraphon มีปัญญาในธรรม ความทุกข์ก็คลายได้เร็ว
ขออนุโมทนาค่ะ