สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือสิ่งที่ปรากฏแล้ว
ผู้ศึกษาพระธรรมหลายท่านมักมีความต้องการไปรู้สิ่งที่ยังไม่ปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้
ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้สิ่งที่ยังไม่ปรากฏซึ่งก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือ
สิ่งที่ปรากฏแล้วจึงรู้ได้
เชิญสหายธรรมร่วมสนทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา
เพื่อประโยชน์ อะไรรึ? ตรงนี้ต้องพูดกันก่อน เพราะเป็นเส้นผมบังภูเขา เราท่าน
ก็อยากเห็นธรรมแต่ไม่รู้ทางตรง หลงไปทางอ้อม หลงผิด ติดข้องหลายแสนกัปป์กัลป์
พุทธันดร
ชี้ให้เห็นประโยชน์ว่า ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ที่ควรรู้ยิ่ง ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพราะว่า
สิ่งที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันเกิดขึ้น และดับไปอยู่ตลอดเวลา สามารถที่จะ
อบรมเจริญปัญญาให้รู้ได้ ถ้าสิ่งที่ปรากฏยังไม่รู้จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏได้อย่างไร?
ขออนุโมทนาค่ะ
อ้างอิงความเห็นพี่เมตตา
สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือสิ่งที่ปรากฏแล้ว
ถ้าสิ่งที่ปรากฏยังไม่รู้จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏได้อย่างไร?
สาธุ
อ่านความคิดเห็นที่ ๓ ประจักษ์สิ่งที่กำลังปรากฏ เกิด-ดับ = ปัญญา?
เรียนคุณจำแนกไว้ดีจ๊ะ
การประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น เป็นปัญญา
ขั้นวิปัสสนาญาณค่ะ
เจคสิก คือ สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิตที่ระลึกได้ในสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง คือ สติ สัมปชัญญะ ปัญญา ที่ประจักษ์ลักษณะไตรลักษณ์ ความเกิด-ดับ ทำให้ละคลายกิเลส ละคลายความยึดมั่นถือมั่นความเป็นเรา สิ่งที่ดับไปแล้ว สิ่งที่ยังมาไม่ถึง จะมีลักษณะให้เห็นจริงได้อย่างไร
ขออนุโมทนาครับ
ครับ ไม่ได้หยุดรู้แค่สิ่งที่กำลังปรากฏ
แต่เกิดปัญญา วิปัสสนาญาณอันคมกล้า
นี่ก็เป็นเรื่องราวยาวๆ แต่สิ่งสำคัญ...แค่สิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้ รู้ได้ยาก
ควรอบรมเจริญปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง
สิ่งที่ปรากฏในกายก็ไม่พ้นไปจากเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวเท่านั้นเองค่ะ
การอบรมความเห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เป็นปัจจัย
ให้สติระลึกตรงลักษณะที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวได้ค่ะ แต่ไม่ใช่ตัวตนที่จะไป
ระลึกรู้ค่ะ เพราะดิฉันก็เคยไปปฏิบัติ เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง ขณะที่ไม่เป็นไป
ในทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ในขณะที่ปฏิบัติผิด จิตก็ตั้งมั่นผิด ขณะที่
จิตตั้งมั่นคงอยู่ก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกายก็เป็นตัวตนนั้นเองที่ไปดู ไปรู้ สิ่งเหล่านั้น เมื่อ
ก่อนก็เข้าใจผิด คิดว่าเรานี่ปฏิบัติถึงไหนแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา
เลย เป็นตัวตนที่ไปรู้ไปจดจ้องอยู่ตลอดเวลา หวังผลของการปฏิบัติอยู่ เมื่อเห็นผิด
คิดว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏในกายเกิดโสมนัสดีใจก็เป็นโลภะ มีแต่อกุศลจิตเกิดเกือบตลอด
เวลา..นี่ไม่ใช่ปัญญาค่ะ