ความรู้สึกว่า สภาพธรรมทั้งหลาย มีแต่พรัดพรากจากไป

 
v_ponch
วันที่  9 มิ.ย. 2549
หมายเลข  1314
อ่าน  846
เมื่อข้าพเจ้าเจริญสติปัฏฐานไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนแต่พลัดพรากจากเราไปทุกขณะที่สติเข้าไประลึกได้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่โดยแท้จริง ทุกอย่างกลายเป็นเพียงภาพในอดีตอย่างรวดเร็ว ชวนให้อยากสลัดออกซึ่งความผูกพันธ์ ในสภาพธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้าควรรักษาความรู้สึกเช่นนี้ไว้หรือไม่ หรือมันเป็นเพียงสัญญาที่พาให้เราหลงไป? และข้าพเจ้าอยากฟังประสพการณ์ การเจริญสติปัฏฐานของท่าน อ. สุจินต์ ที่ท่านดำเนินมาด้วยตนเองบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจและแนวทาง ให้แก่ผู้ที่กำลังปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน ไม่ทราบว่า จะมีใครช่วยเรียนขอให้ท่านอนุเคราะห์เล่าให้พวกเราฟัง ได้หรือไม่ขอบคุณมาก (อยากฟังทั้งส่วนที่เป็นอุปสรรค ที่ทำให้เนิ่นช้า หรือปัญหาการปฏิบัติ ในส่วนตัวที่ท่านอ.สุจินต์ ได้แก้ผ่านมาได้ เป็นต้น)

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 12 มิ.ย. 2549

การเจริญสติปัฏฐานในเบื้องต้นจะค่อยๆ รู้นามและรูปที่กำลังปรากฏ คือ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น แต่ยังไม่ถึงการเบื่อหน่ายจนใคร่ที่จะสลัดออก ส่วนความรู้สึกนึกคิดไปในเรื่องต่างๆ ย่อมมีเป็นธรรมดา เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ผลของการอบรมเจริญสติปัฏฐานควรศึกษาและอบรมความเข้าใจในพระธรรมให้มากขึ้น อุปสรรคและเครื่องเนิ่นช้า คือ กิเลส (ตัณหา มานะ ทิฏฐิ) ที่จะพาให้หลงไปกับความต้องการผลต่างๆ ปัญญาขั้นต้นจะต้องเป็นการรู้ชัดลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จากนั้นจึงรู้ปัจจัยของนามรูป และประจักษ์ความเกิดดับและจึงเห็นภัยและเบื่อหน่าย ใคร่ที่จะพ้น วางเฉย ตามลำดับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
v_ponch
วันที่ 12 มิ.ย. 2549
ขอบคุณมากครับ สำหรับคำแนะนำที่ดี ...อยากเรียนถามเพิ่มเติมว่า ๑) สัมปัชชัญญะ เป็นเจตสิกตัวใด จัดอยู่ในพวกปัญญา หรือ สมาธิ? ๒) มนสิการ กับ โยนิโสมนสิการ เป็นเจตสิกกลุ่มเดียวกันหรือไม่? ๓) คำว่า โยนิโสมนสิการ หมายถึง การคิดอย่างถูกวิธีใช่หรือไม่ ถ้าจะเทียบกับคำว่า"พิจารณา" ที่พบบ่อยๆ ในพระไตรปิฏกจะเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ เพียงการสังเกต จัดเป็นโยนิโสมนสิการด้วยหรือเปล่า ๔) โยนิโสมนสิการเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญา แต่มิใช่ตัวปัญญาใช่หรือไม่
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
study
วันที่ 13 มิ.ย. 2549

๑. สัมปชัญญะ เป็นปัญญาเจตสิก๒. มนสิการ กับ โยนิโสมนสิการ คือมนสิการเจตสิก แต่โยนิโสมนสิการเป็น มนสิการที่เกิดร่วมกับกุศลจิต ๓.- ๔. โยนิโสมนสิการ คือกุศลธรรม รวมโสภณธรรมที่เกิดร่วมกันทั้งหมดพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 157

โยนิโสมนสิการกับอโยนิโสมนสิการทั้ง ๒ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ ได้แก่การทำไว้ในใจโดยถูกอุบาย=การทำไว้ในใจโดยถูกทาง=การนึก=การน้อมนึก=การผูกใจ=การใฝ่ใจ=การทำไว้ในใจ ซึ่งจิตในอนิจจลักษณะเป็นต้น โดยนัยเป็นต้นว่า ไม่เที่ยง หรือโดยสัจจานุโลมิก-ญาณ นี้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ