จุลลกาลิงคชาดก

 
orawan.c
วันที่  16 ส.ค. 2552
หมายเลข  13207
อ่าน  2,504

แม้ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ยังพยากรณ์ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะไม่สามารถกั้นความพยายามของคนได้ จะกล่าวไปไยถึงหมอดู ที่จะต้องไปเชื่อตามคำพยากรณ์นั้น ในเมื่อเรามีกรรมเป็นของตน ที่สำคัญความเพียร พยายาม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะให้ผลกรรมด้วยครับ ผมยกชาดกให้อ่านเรื่องนึงนะ ยาวนิดแต่ดีมากครับ เกี่ยวกับ แม้ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ยังพยากรณ์ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะไม่สามารถกั้นความพยายามของคนได้

[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 373

จุลลกาลิงคชาดก

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติอยู่ในพระนครทันตปุระ แคว้นกาลิงครัฐ พระราชาพระนามว่า อัสสกะครองราชสมบัติในนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ. พระเจ้ากาลิงคะทรงสมบูรณ์ด้วยรี้พลและพาหนะ แม้พระองค์เองก็มีกำลังดังช้างสารไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ พระองค์เป็นผู้ประสงค์จะทรงกระทำการรบ จึงตรัสบอกแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า เรามีความต้องการจะทำการรบ แต่ไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ เราจะกระทำอย่างไร. อำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่าข้าแต่มหาร มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง พระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์ ทรงพระรูปโฉมอันอุดม พระองค์โปรดให้ประดับตกแต่งพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วให้นั่งในราชยานอันมิดชิด แวดล้อมด้วยรี้พล แล้วให้เที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย โดยป่าวร้องว่า พระราชาพระองค์ใดจักมีพระประสงค์จะรับเอาไว้เพื่อตน พวกเราจักทำการรบกับพระราชาพระองค์นั้น. พระราชาจึงทรงให้กระทำอย่างนั้น ในสถานที่พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จไปแล้วๆ พระราชาทั้งหลายไม่ยอมให้พระราชธิดาเหล่านั้นเข้าพระนคร เพราะความกลัวภัยพากันส่งเครื่องบรรณาการออกไป แล้วให้ประดับอยู่เฉพาะภายนอกพระนคร. พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเที่ยวไปตลอดทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้ จนบรรลุถึงพระนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ.

ฝ่ายพระเจ้าอัสสกะก็ทรงให้ปิดประตูพระนคร แล้วทรงส่งเครื่องบรรณาการออกไปถวาย อำมาตย์ของพระเจ้าอัสสกะนั้น ชื่อว่านันทเสนเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในอุบาย. นันทเสนอำมาตย์นั้นคิดว่า ข่าวว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชเหล่านี้ เสด็จเที่ยวไปทั่วชมพูทวีปก็ไม่ได้ผู้จะต่อยุทธ แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชมพูทวีปก็ได้ชื่อว่าต่างจากนักรบ เราจักรบกับพระเจ้ากาลิงคราช นันทเสนอำมาตย์นั้นจึงไปยังประตูพระนครเรียกคนรักษาประตูมา เพื่อจะให้เขาเปิดประตูแก่พระราชธิดาเหล่านั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

ท่านทั้งหลายจงเปิดประตูถวาย เพื่อให้พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเข้าภายในพระนคร ซึ่งพระนครนี้ข้าพเจ้าชื่อว่านันทเสนผู้เป็นอำมาตย์ดุจราชสีห์ของพระเจ้าอรุณราช ผู้อันอาจารย์สั่งสอนไว้อย่างดี ได้จัดการรักษาไว้ดีแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรุณราชสฺส ความว่า พระราชาแม้พระองค์นั้น ในเวลาดำรงอยู่ในราชสมบัติ ทรงพระะนามว่า อัสสกะ ด้วยสามารถแห่งชื่อของแคว้นแต่พระนามว่า อรุณ เป็นนามที่ราชตระกูลประทานแก่พระราชานั้น ด้วยเหตุนั้น นันทเสนอำมาตย์จึงกล่าวว่า อรุณราชสฺส ดังนี้.

บทว่า สีเหน แปลว่า ผู้เป็นบุรุษดุจราชสีห์.

บทว่า สุสิฏเน แปลว่า ผู้อันอาจารย์ทั้งหลายสั่งสอนดีแล้ว.

บทว่า นนฺทเสเนน ความว่า อันเรา ผู้ชื่อว่านันทเสน.

ครั้นอำมาตย์นันทเสนนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้เปิดประตูรับพระราชธิดาทั้ง ๔ นั้นไปถวายพระเจ้าอัสสกะ แล้วกราบทูลว่า พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย เมื่อมีการรบกัน ข้าพระองค์จักรู้ (รับอาสา) พระองค์โปรดทรงกระทำพระราชธิดาผู้ทรงพระรูปโฉมอันเลอเลิศเหล่านี้ให้เป็นพระอัครมเหสีเถิด แล้วให้ประทานอภิเษกแก่พระราชธิดาเหล่านั้น แล้วส่งราชบุรุษผู้มากับพระราชธิดาเหล่านั้นกลับไปด้วยพูดว่า ท่านทั้งหลายจงกราบทูลพระราชาของท่านหมายถึงข้อที่พระเจ้าอัสสกะราชทรงตั้งพระราชธิดาทั้ง ๔ ไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี. ราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ

พระเจ้ากาลิงคราช ทรงดำริว่า พระเจ้าอัสสกะนั้นชะรอยจะไม่ทราบกำลังของเราแน่นอน จึงเสด็จออกด้วยกองทัพใหญ่ในขณะนั้นทันที. นันทเสนอำมาตย์ทราบการเสด็จของพระเจ้ากาลิงคราช จึงส่งสาส์นไปว่า ขอพระเจ้ากาลิงคราชจงอยู่เฉพาะแต่ในรัฐสีมาของพระองค์ อย่าล่วงล่ารัฐสีมาแห่งพระราชาของข้าพระองค์เข้ามา การสู้รบจักมีระหว่างแคว้นทั้งสอง. พระเจ้ากาลิงคราชทรงสดับสาส์นแล้วได้ทรงหยุดกองทัพ ไว้เฉพาะปลายพระราชอาณาเขตของพระองค์ ฝ่ายพระเจ้าอัสสกราชก็ได้ทรงหยุดกองทัพ เฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองค์เหมือนกัน.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี อยู่ที่บรรณศาลาระหว่างอาณาเขต แห่งพระราชาทั้งสองนั้น พระเจ้ากาลิงคราชทรงพระดำริว่า ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมจะรู้อะไรๆ ดี ใครจะรู้ อะไรจักมีชัยชนะหรือความปราชัยจักมีแก่ใคร เราจักถามพระดาบสดู จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ด้วยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทำปฏิสันถารแล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคะกับพระเจ้าอัสสกะประสงค์จะรบกัน พากันตั้งทัพยันอยู่เฉพาะในรัฐสีมาของตนๆ ในพระราชาทั้งของพระองค์นั้น ใครจักมีชัยชนะ ใครจักปราชัยพ่ายแพ้ พระดาบสโพธิสัตว์กราบทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก อาตมภาพไม่ทราบว่า พระองค์โน้นชนะ พระองค์โน้นพ่ายแพ้ แต่ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาที่นี้ อาตมภาพถามท้าวสักกเทวราชนั้นแล้ว จักบอกให้ทราบ พรุ่งนี้ท่านมาฟังเอาเถิด ท้าวสักกะเสด็จมาสู่ที่บำรุงพระโพธิสัตว์แล้วประทับนั่ง ทีนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลถามเนื้อความกะท้าวสักกเทวราช ท้าวเธอจึงตรัสทำนายว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคราชจักมีชัย พระเจ้าอัสสกะจักปราชัย อนึ่ง บุรพนิมิตนี้จักปรากฏ

ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้ากาลิงคราชเสด็จมาถาม แม้พระโพธิสัตว์ก็ทูลแก่พระเจ้ากาลิงคราชนั้น พระเจ้าถาลิงคราชไม่ตรัสถามเลยว่า บุรพนิมิตชื่อไรจักปรากฏ ทรงหลีกลาไปด้วยพระทัยยินดีว่า ท่านว่าเราจักชนะ เรื่องนั้นได้แพร่ไปแล้ว พระเจ้าอัสสกะได้ทรงสดับเรื่องนั้นจึงรับสั่งให้เรียกอำมาตย์นันทเสนมา แล้วรับสั่งว่า เขาว่าพระเจ้ากาลิคราชจักชนะ เราจักพ่ายแพ้ เราควรจะทำอย่างไรกัน นันทเสนอำมาตย์นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใครจะทราบข้อนั้น ได้ชัยชนะหรือความปราชัยจักเป็นของใคร ขอพระองค์อย่าทรงคิดไปเลย ครั้นกราบทูลเอาพระทัยพระราชาแล้ว เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ถามว่า ท่านผู้เจริญ ใครจักชนะ ใครจักแพ้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระเจ้ากาลิงคะจักชนะ พระเจ้าอัสสกะจักแพ้ อำมาตย์นันทเสนถามว่า ท่านผู้เจริญ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้ชนะ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้แพ้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านผู้มีบุญมาก อารักขเทวดาขอพรผู้ชนะจักเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของผู้แพ้จักเป็นโคผู้ดำปลอด อารักขเทวดาแม้ของทั้งสองฝ่ายรบกันแล้ว จักทำความมีชัยและปราชัยกัน.

นันทเสนอำมาตย์ได้ฟัง ดังนั้น จึงลุกขึ้นลาไป พาทหารใหญ่ประมาณพันคนผู้เป็นสหายของพระราชา ขึ้นไปยังภูเขาในที่ไม่ไกลนัก แล้วถามว่า ผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านจักอาจเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของพวกเราได้หรือไม่ ทหารใหญ่เหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราจักสามารถถวายได้ นันทเสนอำมาตย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงโดดลงไปในเหวนี้. ทหารใหญ่เหล่านั้นได้เตรียมจะโดดลงเหว นันทเสนอำมาตย์จึงห้ามทหารใหญ่เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า อย่าโดดลงเหวนี้เลย ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีขวัญดี ไม่ถอยหลัง ช่วยกันรบเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของเราทั้งหลายเถิด ทหารใหญ่เหล่านั้นรับคำแล้ว ครั้นเมื่อสงครามประชิดกัน พระเจ้ากาลิงคราชทรงวางพระทัยว่า นัยว่าเราจักชนะ แม้หมู่พลนิกายของพระองค์ก็พากันวางใจว่า เขาว่าพวกเราจักมีชัยชนะ จึงไม่ทำการผูกสอด เป็นพรรคเป็นพวก พากันหลีกไปตามความชอบใจในเวลาจะกระทำความเพียรพยายามก็ไม่ทำ.

ฝ่ายพระราชาทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นทรงม้าเข้าไปหากันและกันด้วยหมายมั่นว่า จักต่อยุทธ อารักขเทวดาของพระราชาทั้งสองออกไปข้างหน้า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะเป็นโคผู้ขาวปลอดอารักขเทวดาของพระเจ้าอัสสกะ เป็นโคผู้ดำปลอด โคผู้แม้เหล่านั้นแสดงอาการต่อสู้เข้าไปหากันและกัน ก็โคผู้เหล่านั้นย่อมปรากฏเฉพาะแก่พระราชาทั้งสองพระองค์เท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนอื่น อำมาตย์นันทเสนทูลถามพระเจ้าอัสสกะ ว่า ข้าแต่มหาราช อารักขเทวดาปรากฏแก่พระองค์แล้วหรือยัง

พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า เออปรากฏ นันทเสน ปรากฏโดยอาการอย่างไร พระเจ้าอัสสกะ อารักขเทวดาขอพระเจ้ากาลิงคะปรากฏเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของเราปรากฏเป็นโคผู้ดำปลอด

นันทเสนอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกเราจักชนะ พระเจ้ากาลิงคะจักพ่ายแพ้ พระองค์จงเสด็จลุกจากหลังม้า ทรงถือพระแสงหอกนี้ เอาพระหัตถ์ซ้ายแตะด้านท้องม้าสินธพที่ศึกษาดีแล้วรีบไปพร้อมกับบุรุษพันคนนี้ เอาหอกประหารอารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะให้ล้มลง ต่อแต่นั้น พวกข้าพระองค์ประมาณหนึ่งพัน จักประหารด้วยหอกพันเล่ม เมื่อทำอย่างนี้ อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะจักฉิบหาย จากนั้น พระเจ้ากาลิงคะจักพ่ายแพ้ พวกเราจักชนะ พระราชาทรงรับว่าได้ แล้วเสด็จไปเอาหอกแทงตามสัญญาที่นันทเสนอำมาตย์ถวายไว้ ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายก็แทงด้วยหอกพันเล่ม อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะก็ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นนั่นเอง ทันใดนั้น พระเจ้ากาลิงคะก็ทรงพ่ายแพ้เสด็จหนีไป อำมาตย์ทั้งหลายพันคนเห็นพระเจ้ากาลิงคะเสด็จหนีไปก็พากันโห่ร้องว่า พระเจ้ากาลิงคราชหนี พระเจ้ากาลิงคะทรงกลัวต่อมรณภัยเสด็จหนีไป เมื่อจะทรงด่าพระดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

แน่ะดาบสโกง ท่านได้พูดไว้อย่างนี้ ว่า ชัยชนะจักมีแก่พวกพระเจ้ากาลิงคราชผู้สามารถย่ำยีบุคคลที่ใครๆ ย่ำยีไม่ได้ ความปราชัยไม่ชนะจักมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ ชนทั้งหลายผู้ซื่อตรง ย่อมไม่พูดเท็จ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสยฺหสาหิน ได้แก่ ผู้สามารถเพื่อย่ำยีบุคคลที่ใครๆ ย่ำยีไม่ได้ คือย้ำยีได้ยาก

บทว่า อิจฺเจวเต ภาสิต ความว่า ดูก่อนดาบสโกง ท่านรับเอาค่าจ้างแล้วพูดอย่างนี้กะพระราชาผู้พ่ายแพ้ว่า จักชนะ และพูดกะพระราชาผู้ชนะว่าจักแพ้.

บทว่า น อุชุภูตา ความว่า ชนเหล่าใดเป็นผู้ซื่อตรงด้วยกาย วาจาและใจ ชนเหล่านั้นย่อมไม่พูดเท็จอย่างนี้.

พระเจ้ากาลิงคราชนั้น เมื่อด่าพระดาบสอย่างนี้ แล้วก็เสด็จหนีไปยังพระนครของพระองค์ ไปอาจที่จะเหลียวมามองดู แต่นั้นเมื่อล่วงไป ๒-๓ วัน ท้าวสักกะได้เสด็จมายังที่บำรุงของพระดาบส

พระดาบสเมื่อจะทูลกับท้าวเธอ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาทั้งหลายยังประพฤติล่วงมุสาวาทอีกหรือ พระองค์ควรกระทำถ้อยคำให้จริงแต่แน่นอนมิใช่หรือ ข้าแต่ท้าวมั่ฆวาฬผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือ จึงได้ตรัสมุสา

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตนฺเต มุส กาสิต ความว่า คำใดพระองค์ตรัสไว้แก่อาตมภาพ คำนั้น พระองค์ทรงทำมุสาวาทอันหักรานประโยชน์ตรัสเท็จไว้ พระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือจึงตรัสคำนั้นอย่างนั้น.

ท้าวสักกะทรงสดับดังนั้นจึงตรัสคาถาที่ ๔ ว่า :- ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อชนทั้งหลายพูดกันอยู่ ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า เทวดาทั้งหลายย่อมเกียดกันความพยายามของลูกผู้ชายไม่ได้ ความข่มใจ ความตั้งใจแน่วแน่ ความไม่แตกสามัคคีกัน ความไม่แก่งแย่งกัน การรุกในกาลควรรุก ความเพียรมั่นคง และความบากบั่นของลูกผู้ชาย (มีอยู่ในพวกพระเจ้าอัสสกะ) เพราะเหตุนั้นแหละ ชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ.

คาถาที่ ๔ นั้น มีอธิบายดังนี้ :- ดูก่อนท่านพราหมณ์ เมื่อเขาพูดกันอยู่ในที่นั้นๆ ท่านไม่เคยได้ยินคำนี้หรือว่า เทวดาทั้งหลายย่อมไม่เกียดกันคือไม่ริษยาความบากบั่นของลูกผู้ชาย ความข่มใจกล่าว คือความทรมานตน เช่น การทำความเพียรพยายามของพระเจ้าอัสสกะ ความมีใจไม่แตกแยกกันโดยมีความสามัคคีกัน ความมีใจตั้งมั่นไม่แตกแยกกัน ความไม่แก่งแย่งกันในเวลาทำความเพียรแห่งพวกสหายของพระเจ้าอัสสกะ ความไม่ย่อท้อ เหมือนพวกคนของพระเจ้ากาลิงคะ แยกเป็นพวกๆ ย่นย่อ ฉะนั้น อนึ่ง ความเพียรพยายาม และความบากบั่นแห่งลูกผู้ชาย ของตนผู้มีจิตใจแตกแยกกัน ได้เป็นคุณธรรมอันมั่นคง เพราะความเป็นผู้มีความสมัครสมานกัน เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ชัยชนะจึงได้มีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ.

ก็แหละเมื่อพระเจ้ากาลิงคราชหนีไปแล้ว พระเจ้าอัสสกราชให้กวาดต้อน (เชลยและยุทธภัณฑ์) แล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์ อำมาตย์นันทเสนส่งสาส์นไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชว่า พระองค์จงส่งส่วนทรัพย์มรดกไปถวายพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์นี้ ถ้าไม่ทรงส่งไป พวกเราจักรู้กิจที่จะต้องทำในข้อนี้. พระเจ้ากาลิงคราชได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้ว ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งหวาดเสียว จึงส่งพระราชทรัพย์มรดกที่พระราชธิดาเหล่านั้นจะพึงได้ไปประทาน จำเดิมแต่นั้นมา พระราชาทั้งสอง ก็อยู่อย่างสมัครสมานกัน

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุณีสาวเหล่านี้ ในบัดนี้ อำมาตย์นันทเสนในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

จบ อรรถกถาจุลลกาลิงคชาดกที่ ๑


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 20 ส.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พร้อมเสมอ
วันที่ 27 ส.ค. 2555
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ