นี่เป็นการเตือนค่ะ : หรือจะเพียงจำชื่อไปเรื่อยๆ

 
คุณย่า
วันที่  16 ส.ค. 2552
หมายเลข  13218
อ่าน  2,915

ปฏิบัติธรรม
อาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2551

อุดร เมื่อเช้านี้ได้ฟังเรื่องของสติ ซึ่งเป็นโสภณธรรม การที่ตั้งใจเรียนที่ว่ามีสติ มีสติถ้าเป็นการตั้งใจเรียน ตั้งใจที่จะประกอบสัมมาอาชีวะ ตั้งใจที่จะศึกษาธรรมจะเป็นสติที่เป็นโสภณธรรม ได้ไหม

อาจารย์ โดยมากพอได้ยินชื่อก็สนใจรู้ไหมค่ะ จะรู้จักชื่อนั้นตามความเป็นจริง คือตัวที่ทำให้มีชื่อนั้น เมื่อไร ไม่ใช่เพียงฟัง อย่างบอกว่าขณะใดก็ตามที่จิตเป็นกุศลเกิดขึ้น ต้องมี "สติเจตสิก" เกิดร่วมด้วย ฟังเข้าใจอย่างนี้ แต่จะรู้ไหมขณะไหนเป็นกุศลหรือขณะไหนเป็นอกุศล ถ้าไม่รู้แล้วจะไปรู้จักสติที่เกิดกับกุศลจิตได้อย่างไร หรือจะเพียงจำชื่อไปเรื่อยๆ

อุดร ก็ต้องรู้ในขณะที่สติเกิด

อาจารย์ เดี๋ยวนี้นะค่ะ ที่สติเกิดหรือเปล่า ใช้คำว่าเดี๋ยวนี้

อุดร เดี๋ยวนี้ก็ได้ฟังธรรม

อาจารย์ นั่นซิค่ะ ตอบจริงๆ ตอบไม่ได้ค่ะ มีสติเกิดหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะว่าไม่รู้สภาพของธรรม สติเป็นธรรมค่ะ เมื่อไม่รู้สภาพของธรรมจะไปรู้ได้ยังไงว่าธรรมไหนเป็นสติ ธรรมไหนไม่ใช่สติ

อุดร คิดว่ารู้สภาพธรรม รู้ขณะที่เป็นสติฐานหรือยังไง

อาจารย์ ฟังมาใช่ไหมค่ะ ว่าขณะที่เห็นนี้เป็นวิบาก เกิดขึ้นเพราะ กิจธุระปัจจัย แล้วก็มีธรรมที่เป็นปัจจัยให้มีการอุปัตติเกิดขึ้น มีการเห็นเพราะมีสิ่งที่กระทบจักขุประสาท ทั้งหมดที่ยังไม่ดับ ทำให้เป็นอุปัตติเกิดขึ้น เพียงเห็นแล้วก็ดับไปแล้ว เวลาที่จิตเห็นดับไปแล้ว จิตอื่นเกิดต่อก็รับรู้สิ่งที่เห็น ขณะนั้นน่ะค่ะ มีสติเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า

อุดร หลังจากเห็นแล้วหรือครับ

อาจารย์ ทันทีที่เห็นดับไป ขณะต่อไปเกิดขึ้นมีสติเกิดร่วมด้วยไหม ไม่สามารถจะบอกได้ แม้แต่การฟัง ก็จะต้องมานั่งทบทวนจิตที่รับรู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณเป็นจิตอะไร มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร ก็ต้องมานั่งคิดโดยไม่รู้ลักษณะของสติ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของสติ ไม่ใช่เพียงการจำว่าสติมีลักษณะอย่างไร เกิดกับจิตขณะไหนบ้าง เพราะแม้ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนี้น่ะจิตเป็นกุศลหรือเปล่า หรือเป็นอกุศล หรือว่าเป็นวิจารณญาณหรือว่าเป็นกิจธุระ เพราะว่าไม่ได้รู้สภาพที่เป็นจิต เพียงแต่ได้ยินชื่อ ได้ยินเรื่องราวของทั้งจิต เจตสิก รูป ทั้งหมดมากมาย แต่ขณะนี้มีสิ่งที่เป็นจิตจริงๆ กำลังเห็นจริงๆ แต่ไม่รู้ลักษณะของจิตที่เห็น

เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถที่จะแยกได้ ว่าขณะที่เห็นนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังเป็นจิตประเภทอื่น เช่น ความยินดีติดข้องในสิ่งที่เห็น ... แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วแล้วจะไปรู้ลักษณะของสติ หรือเพียงแต่ไปจำว่าขณะนั้นน่ะ มีสติเจตสิก เกิดร่วมด้วยหรือเปล่า เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องรู้ว่าจุดประสงค์ก็คือเราไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทั้งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น การที่ฟังเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแต่เราก็ไม่สนใจ ไปสนใจเรื่องสติอะไรๆ อีกเยอะแยะ แต่ไม่สนใจที่จะรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และความจริงของสิ่งนี้ก็คือว่า มีอย่างนี้ว่าเมื่อไรเห็นเกิดขึ้น เมื่อไรก็ทีสิ่งนี้แหละปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกจนกว่าจะรู้จักธรรมที่ปรากฏ แต่เราก็ไปติดเรื่องสติ เรื่องสมาธิ ลืมว่าเพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ

อุดร ก็ยังติดในเรื่องชื่อ

อาจารย์ ไม่เป็นไรถ้าจะติดแต่เข้าใจได้ไหม รู้จักได้ไหม รู้จักชื่อไม่สำคัญเลยค่ะ ชื่อมีตั้งเยอะแยะ แล้วตัวจริงๆ น่ะรู้จักไหมค่ะ

อุดร ก็ไม่ค่อยรู้จัก

อาจารย์ เดี๋ยวนี้เพียงแค่คำว่า “เดี๋ยวนี้” สิ่งที่กำลังปรากฏมีจริงๆ ทางตาเห็นแล้วด้วย รู้จักความจริงของสิ่งที่ปรากฏหรือยังนี่เป็นการเตือนค่ะ การฟังธรรม ไม่ว่าจะนานมากน้อยสักเท่าไร ก็เพื่อมีความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วเพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้น แล้วก็ดับไปไม่กลับมาเลย

แค่นี้จะละความพอใจในรูปธรรมซึ่งปรากฏ ทางตา ในเสียง รูปกลิ่น ในสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายได้ไหม เพียงแค่นี้ได้หรือไม่ค่ะ ทำไมตอบยากนัก ไม่ได้นี้แน่นอน เพราะอะไร? เพราะไม่รู้ความจริงและเพราะสะสมมานานมาก เห็นโทษ เห็นภัยแม้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ตัวติดข้องก็มากมายมหาศาล ฟังธรรมเท่าไรๆ ก็ละไม่ได้ จนกว่าจะเป็นพระอนาคามีบุคคล ดูซิค่ะ ในสิ่งที่เพียงปรากฏนิดเดียวหมดแล้ว ทันทีที่เสียงปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่มีแล้ว ดับไปหมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ฟังอีกนานเท่าไร จึงจะคลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก่อน แล้วจึงจะดับความยินดีในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางกาย ทางใจได้

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องจริง ฟังเพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีทางที่จะละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือความเป็นเราได้ เหมือนอย่างคราวก่อนก็ถามว่า เห็นแล้วต่อไปเป็นอะไร? ... ลืมหรือยัง ทุกคนกำลังเห็นนะค่ะ ทุกคนตอบว่าเห็นแล้วคิด คิดอะไร? ... เร็วขนาดนั้นค่ะ เป็นคนแล้ว เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ ลืมตรงนี้ว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเมื่อเห็นแล้วสิ่งที่ปรากฏดับแล้ว เรามักจะไปคิดถึงว่าเราคิดเรื่องบ้าน เรื่องพี่ เรื่องน้อง เรื่องธุระ เรื่องการงาน แต่ก่อนนั้นอีก ก่อนที่จะเป็นการคิดเรื่องบ้าน เรื่องพี่น้อง เรื่องการงาน ทันทีที่เห็น คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตามทันทีเร็วมาก ก่อนที่จะเป็นเรื่องราวอื่นๆ

เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงไว้ ว่ารูปธรรมมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ขณะจิต ๑๗ ขณะจิตนี้ประมาณไม่ได้ว่าเร็วแค่ไหน เพราะว่าทุกอย่างเหมือนพร้อมกัน ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ซึ่ง (ตามเป็นจริง) ห่างไกลกันมาก ระหว่างจิตเห็น กับจิตได้ยิน ก่อนจะได้ยิน ทันทีรูปธรรมที่ปรากทางตาดับ ซึ่งเร็วมาก ก็คิดแล้วถึงรูปธรรมที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้พอจักขุทวารวิถีจิตดับ เพราะรูปธรรมดับ สภาพของจิตที่เกิดต่อต้องเป็นภวังคจิต เป็นอย่างอื่นยังไม่ได้เลยค่ะ เพราะไม่มีรูปธรรมปรากฏแล้ว แต่จิตขณะนั้น มีปัจจัยที่จะเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ มิฉะนั้น เพียงเห็นแล้วจบ ตาย ... ก็ไม่มีอะไร อะไรก็ไม่มี แต่เมื่อยังไม่สิ้นชีวิต ถึงแม้ว่าเห็นจะหมดไป สิ่งที่ปรากฏทางตาหมดไปแล้ว ก็มีปัจจัยที่จะให้จิตเกิดขึ้น ดำรงภพชาติซึ่งไม่ใช่เห็น แล้วหลังจากนั้นทันทีเร็วมากแสนเร็วคิดถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วเหมือนกับรู้ทันทีว่า เห็นอะไร นี่คือความรวดเร็ว แต่ถ้าไม่มีปัญญาที่เข้าใจถูกจริงๆ จะสามารถละคลายการที่เคยเข้าใจว่า สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะคิดนีได้ไหม ทั้งที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด โดยขณะจิต โดยวิถีจิต ตั้งแต่เกิดจนตายว่า คือสภาพของจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ แต่ละขณะ จิตเกิด ทำหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ... ก็ไม่รู้ค่ะ เป็นเราเห็น เราได้ยิน ทั้งๆ ที่ไม่มีรูปธรรมตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าปรากฏเลยในขณะที่เห็น ... มีไหมค่ะ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏมีรูปธรรมอะไรปรากฏด้วยหรือเปล่า? ไม่มีขณะที่เสียงปรากฏ มีจิตหนึ่งขณะที่ได้ยินเสียงเท่านั้น เพราะจิตจะเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ อย่างอื่นจะมีปรากฏไหมค่ะ

อุดร ไม่ได้

เพราะฉะนั้น รูปธรรมที่เข้าใจว่า มีตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าอยู่ไหนได้แค่จำว่ายังมียังเหลือ ยังเป็นเราทั้งๆ ที่สิ่งนั้นไม่มีเลย เพราะว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับแล้วหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วจะไปรู้สติไหมคะ จะไปรู้สมาธิไหมเพียงแค่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาดับแล้ว ก็คือถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ยังไม่รู้

อุดร อาจจะเป็นภาพกว้างๆ

อาจารย์ ภาพกว้างๆ เป็นยังไง

อุดร สภาพที่เป็นกุสล

อาจารย์ เป็นหรือเปล่า ขณะนี้เป็นหรือเปล่า

อุดร ขณะนี้อาจจะรวมกัน

อาจารย์ ไม่มีคำว่า อาจจะ หรือ น่าจะ แล้วเมื่อไรจะรู้จริงๆ ล่ะค่ะ รู้จริงๆ คือปัญญา แน่นอนค่ะ เพราะว่าปัญญาไม่ใช่อวิชชา ไม่ใช่ความไม่รู้ เพียงขั้นฟังเข้าใจ ยากไหม? ... แล้วจะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งมีจริงๆ แต่เกิดดับ สืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิต เหมือนสิ่งนั้นมีแล้วไม่ดับ จะยากกว่านั้นหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น การที่แล้วยิ่งเข้าใจว่าไม่รู้นี้ มีประโยชน์ไหมคะ? เป็นผู้ไม่ประมาท รู้ว่าเกิดมาไม่รู้เสียมากมายทุกชาติ แล้วก็พึ่งจะรู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ไม่พอที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ก็จะต้องอบรมต่อไป ไม่ใช่ไปอยากทำนั่นไปอยากทำนี่แล้วก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

อุดร มีประโยชน์มากครับท่านอาจารย์ที่ว่าไม่รู้ เพราะว่าไม่รู้อะไรแล้วเราก็หมั่นศึกษา ทำความเข้าใจ ก็จะได้ค่อยๆ รู้ขึ้น

อาจารย์ ด้วยการทำอย่างไรค่ะ จะต้องไปทำอะไรหรือเปล่า

อุดร ก็ฟังแล้วศึกษา

อาจารย์ ยากอย่างนี้และจริงอย่างนี้หรือเปล่าคะ แล้วท้อถอยไหมคะ แต่ละคนท้อถอยไหมคะ ถ้าท้อถอยจะมีโอกาสรู้ไหม ถ้าไม่ท้อถอยยังจะมีโอกาสที่จะรู้ได้ "อาจหาญร่าเริง" วันนี้รู้แค่นี้ พรุ่งนี้ก็รู้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย จนกระทั่งวันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้จริงๆ ว่าที่ได้ฟังมาทั้งหมดจริงทุกคำ

อุดร ไม่ท้อถอยหรอกครับ เพราะฟังธรรมแล้วมีความสุข

อาจารย์ ไม่ท้อถอยเป็นนักรบ หรือเปล่าค่ะ ตอนนี้เป็นเพื่อนกับกิเลส


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
aurasa
วันที่ 16 ส.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ ที่ช่วยกันเตือน
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Sam
วันที่ 17 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 17 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ups
วันที่ 17 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คุณ
วันที่ 18 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 18 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 20 ส.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
อภิรดี
วันที่ 31 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 7 ต.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nopwong
วันที่ 3 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 15 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ และคุณย่าสงวน ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ