อธิปไตย 3 [อธิปไตยสูตร]

 
opanayigo
วันที่  16 ส.ค. 2552
หมายเลข  13220
อ่าน  9,925

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 185

๑๐. อธิปไตยสูตร

ว่าด้วยอธิปไตย ๓

[๔๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อธิปไตย ๓ นี้ ๓ คืออะไร คือ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย.

ก็อัตตาธิปไตย เป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ป่าก็ดีอยู่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า ก็เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต มิใช่เพื่อจีวร มิใช่เพื่อบิณฑบาต มิใช่เพื่อเสนาสนะเป็นเหตุมิใช่เพื่อความมีและไม่มีอย่างนั้น ที่แท้ เราเป็นผู้อันความเกิดความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกายความเสียใจ ความคับแค้นใจครอบงำแล้ว ตกอยู่ในกองทุกข์ มีความทุกข์ท่วมทับแล้ว คิดว่า (ด้วยการบวชนี้) ลางทีความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏได้ ก็แลเราละทิ้งกามอย่างใด ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จะมาแสวงหากามอย่างนั้นหรือกามที่เลวยิ่งกว่านั้น นั่นไม่สมควรแก่เราเลย

ภิกษุนั้นจึงตกลงอย่างนี้ว่า ความเพียร เราต้องทำไม่ย่อหย่อน สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องระงับไม่กระสับกระส่ายจิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่ ดังนี้ เธอทำตนเองให้เป็นอธิปไตย ละอกุศลบำเพ็ญกุศล ละธรรมที่มีโทษ บำเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดได้ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า อัตตาธิปไตย.

ก็โลกาธิปไตย เป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ป่าก็ดี ฯลฯ คิดว่า (ด้วยการบวชนี้) ลางทีความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏได้ ก็แลเราบวชอยู่อย่างนี้. จะมาตรึกกามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตก โลกสันนิวาสนี้ใหญ่นะ ก็ในโลกสันนิวาสอันใหญ่นี้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มีทิพยจักษุรู้จิตคนอื่นได้ มีอยู่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นไปได้ไกลด้วย ท่านเข้ามาใกล้ก็ไม่เห็นตัว ท่านรู้จิต (ของผู้อื่น) ด้วยจิต (ของท่าน) ด้วย

ท่านเหล่านั้นจะพึงรู้จักเราอย่างนี้ว่า ดูกุลบุตรผู้นี้ชิ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เขาลุกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาแล้วยังวุ่นด้วยธรรมอันเป็นบาปอกุศลอยู่ แม้เทวดาทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุรู้จิตผู้อื่นได้ก็มี เทวดาเหล่านั้น เห็นไปได้ไกลด้วย เข้ามาใกล้ก็ไม่เห็นตัวด้วย รู้จิต (ของผู้อื่น) ด้วยจิต (ของตน) ด้วย แม้เทวดาเหล่านั้น ก็จะ พึงรู้จักเราอย่างนี้ว่า ดูกุลบุตรผู้นี้ซิ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เธอออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา แล้วยังวุ่นด้วยธรรมอันเป็นบาปอกุศลอยู่ภิกษุนั้นจึงตกลงใจอย่างนี้ว่า ความเพียร เราต้องทำไม่ย่อหย่อน สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องระงับไม่กระสับกระส่าย จิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่ดังนี้ เธอทำโลก (คือผู้อื่น) นั่นแลให้เป็นอธิปไตย ละอกุศลบำเพ็ญกุศลละธรรมที่มีโทษ บำเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดได้ นี่ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า โลกาธิปไตย.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
opanayigo
วันที่ 16 ส.ค. 2552

ก็ธรรมาธิปไตย เป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้

อยู่ป่าก็ดี ฯลฯ คิดว่า (ด้วยการบวชนี้) ลางที ความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏได้ (สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม) พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว (สนฺทิฏฺฺโก) อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง (อกาลิโก) ไม่ประกอบด้วยกาล (เอหิปสฺสิโก) ควรเรียกให้มาดู (โอปนยิโก) ควรน้อมเข้ามา (ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ) อันวิญญูพึงรู้เฉพาะตน เพื่อนสพรหมจารีผู้รู้ผู้เห็น (พระธรรมนั้น) อยู่ก็มี ก็แลเราบวชในพระธรรมวินัยนี้อันเป็นสวากขาตะอย่างนี้แล้ว จะมาเกียจคร้านประมาทเสีย นั่นไม่สมควรแก่เราเลย

ภิกษุนั้นจึงตกลงใจอย่างนี้ว่า ความเพียร เราต้องทำไม่ย่อหย่อน สติต้องตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายต้องระงับไม่กระสับกระส่าย จิตต้องเป็นสมาธิแน่วแน่ ดังนี้ เธอทำธรรมนั่นแลให้เป็นอธิปไตย ละอกุศลบำเพ็ญกุศล ละธรรมที่มีโทษ บำเพ็ญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดได้ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า ธรรมาธิปไตย. นี้แล

ภิกษุทั้งหลาย อธิปไตย ๓ ชื่อว่าความลับ ย่อมไม่มีในโลก สำหรับผู้ทำการบาป แน่ะบุรุษ ตัวของท่านย่อมรู้ว่าจริงหรือเปล่า ผู้เจริญ ท่านดูหมิ่นตัวเองซึ่งเป็นพยานอย่างดีเสียแล้ว เมื่อบาปมีอยู่ในตัว ไฉนท่านจะปิดซ่อนมัน (ไม่ให้ตัวเองรู้) ได้ เทวดาทั้งหลายและตถาคตทั้งหลาย ย่อมเห็นคนเขลาที่ประพฤติไม่สมควรอยู่ ในโลก เพราะเหตุนั้นแหละ บุคคลควร ประพฤติเป็นผู้มีตนเป็นใหญ่ ควรมีสติเป็นผู้มีโลกเป็นใหญ่ ควรมีปัญญารักษาตน มีความพินิจ เป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่ ควรประพฤติตามธรรม พระมุนีผู้บากบั่นจริงย่อมไม่เสื่อม ผู้ใดมีความเพียร กำราบมารลามกเสียได้ ถึงธรรมที่สิ้นชาติแล้ว ผู้เช่นนั้นนั่นเป็นพระมุนี รู้แจ้งโลกมีปัญญาดี ไม่มีความทะเยอทะยานในธรรมทั้งปวง.

จบอธิปไตยสูตรที่ ๑๐

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
opanayigo
วันที่ 16 ส.ค. 2552

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 188

อรรถกถาอธิปไตยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอธิปไตยสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้:-

อธิบายอธิปไตย ๓ อธิปไตยที่เกิดจากเหตุที่สำคัญที่สุด ชื่อว่า อธิปไตย.

ในบทว่า อตฺตาธิปเตยฺยํ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้

คุณชาตที่เกิดโดยทำตนให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า อัตตาธิปไตย.

คุณชาติที่เกิดโดยทำชาวโลกให้เป็นใหญ่ ชื่อว่า โลกาธิปไตย.

คุณชาติที่เกิดโดยทำโลกุตรธรรม ๙ ให้เป็นใหญ่ชื่อว่า ธัมมาธิปไตย.

บทว่า อิติภโว ในคำว่า น อิติภวาภวเหตุ หมายถึง ภายในอนาคตอย่างนี้ (เราตถาคตออกบวชเป็นอนาคาริก) ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งภพในอนาคตนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งปัจจุบันภพนั้น.

บทว่า โอติณฺโณ คือ แทรกซ้อน. ก็ชาติแทรกซ้อนอยู่ข้างในของบุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า ถูกชาติครอบงำ. แม้ในชราเป็นต้น ก็มีนัย นี้แล.

บทว่า เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ได้แก่ กองวัฏทุกข์ทั้งหมด.

บทว่า อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถ ความว่า การทำที่สุด คือ การทำทาง รอบด้านให้ขาดตอน พึงปรากฏ ทำโอหาย แปลว่า ละ.

บทว่า ปาปิฏฺฐตเร แปลว่า ต่ำช้ากว่า.

บทว่า อารทฺธํ ความว่า (ความเพียร) ที่ประคองไว้แล้ว คือ ให้บริบูรณ์แล้ว และชื่อว่า ไม่ย่อหย่อน เพราะเริ่มแล้ว.

บทว่า อุปฏฺฐิตาความว่า สติ ชื่อว่า ตั้งมั่นและไม่หลงลืม เพราะตั้งมั่นด้วยอำนาจสติปัฏฐาน ๔.

บทว่า ปสฺสทฺโธ กาโย ความว่า นามกายและกรชกายสงบ คือ มีความกระวนกระวายระงับแล้ว และเพราะระงับแล้ว จึงชื่อว่า ไม่กระสับ กระส่าย.

บทว่า สมาหิตํ จิตฺตํ ความว่า จิตที่ตั้งมั่นโดยชอบ คือ ตั้งไว้ด้วยดีในอารมณ์ (และ) เพราะตั้งไว้โดยชอบนั่นเอง จึงชื่อว่า มีอารมณ์เดียวเป็นเลิศ.

บทว่า อธิปตึ กริตฺวา ได้แก่ ทำธรรมให้เป็นใหญ่ (สำคัญ) .

บทว่า สุทฺธมตฺตานํ ปริหรติ ได้แก่ ปริหาร ความว่า ปฏิบัติ คือคุ้มครองคนให้บริสุทธิ์ คือ ให้หมดมลทิน. และภิกษุนี้ชื่อว่า บริหารตนให้บริสุทธิ์โดยอ้อมจนกระทั่งถึงอรหัตตมรรค. ส่วนท่านผู้บรรลุผลแล้ว ชื่อว่าบริหารตนให้บริสุทธิ์โดยตรง.

บททั้งหลายมีบทว่า สฺวากฺขาโต เป็นต้น ได้อธิบายไว้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.

บทว่า ชานํ ปสฺสํ วิหรนฺติ ความว่า เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย รู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งธรรมนั้นอยู่.

ก็ในบทว่า อิมานิ โข ภกฺขเว ตีณิ อธิปเตยฺยานิ นี้มีความว่า อธิปไตย ๓ อย่างเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้คละกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ.

บทว่า ปกุพฺพโต ความว่า การทำอยู่.

บทว่า อตฺตา เต ปุริสชานาติ สจฺจํ วา ยทิ วา มุสา ความว่า เธอทำสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นจะมีสภาพเป็นจริง หรือมีสภาพไม่จริงก็ตาม ตัวของเธอเองย่อมรู้สิ่งนั้น นักศึกษาพึงทราบตามเหตุ. ชื่อว่า สถานที่ปิดบังสำหรับผู้ทำบาปกรรมไม่มีในโลก.

บทว่า กลฺยาณํ แปลว่า ดี.

บทว่า อติมญฺญสิ คือ เธอสำคัญล่วงเลย (ลืมตัว) .

บทว่า อถ นํ ปริคุยฺหสิ ความว่า เธอพยายามอยู่ว่า เราจะปิดบังไว้โดยประการที่แม้ตัวของเราก็ไม่รู้.

บทว่า อตฺตาธิปโก ได้แก่ มีตนเป็นอธิบดี คือ มีตนเป็นใหญ่.

บทว่า โลกาธิโป ได้แก่ มีโลกเป็นใหญ่.

บทว่า นิปโก แปลว่า มีปัญญา.

บทว่า ฌายี แปลว่า เพ่งอยู่.

บทว่า ธมฺมาธิโป ได้แก่ มีธรรมเป็นใหญ่.

บทว่า สจฺจปรกฺกโม ได้แก่ มีความบากบั่นอย่างมั่นคง คือ มีความบากบั่นอย่างแท้จริง.

บทว่า ปสยฺห มารํ แปลว่า ข่มมาร.

บทว่า อภิยฺย อนฺตกํ นี้เป็นไวพจน์ของบทว่า ปสยฺห มารํ นั้นนั่นเอง.

บทว่า โย จ ผุสี ชาติกฺขยํ ปธานวา ความว่า บุคคลใดมีปกติเพ่ง มีความเพียรครอบงำมาร แล้วสัมผัสอรหัตตผลอันเป็นสภาวะที่สิ้นไปแห่งชาติ.

บทว่า โส ตาทิโส ได้แก่ บุคคลนั้น ชนิดนั้น คือดำรงอยู่โดยอาการอย่างนั้น.

บทว่า โลกวิทู คือ ทำโลก ๓ ให้เป็นอันรู้แจ้ง คือให้ปรากฏอยู่แล้ว.

บทว่า สุเมโธ แปลว่า ผู้มีปัญญาดี.

บทว่า สพฺเพสุธมฺเมสุ อตมฺมโย มุนิ ความว่า มุนี คือ พระขีณาสพ ชื่อว่า อตัมมยะ เพราะไม่มีตัมมยะ กล่าวคือตัณหาในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด. มีคำ อธิบายว่า ท่านไม่เสื่อม ไม่สูญไป ในกาลไหนๆ ในที่ไหนๆ .

จบอรรถกถาอธิปไตยสูตรที่ ๑๐

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 20 ส.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 11 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 23 พ.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ