ตามรู้ไม่ใช่ตามคิด

 
เมตตา
วันที่  16 ส.ค. 2552
หมายเลข  13226
อ่าน  1,312

วันนี้เป็นอีกวันที่มีความเข้าใจในพระสัทธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ได้บรรบายให้

เข้าใจถึงความลึกซึ้ง ความละเอียดของพระธรรม โดยมากคนมักจะอยากมีสติแทน

ที่จะเข้าใจ หรือคิดว่าสติเกิดระลึกในสภาพธรรม ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ความอยากหรือความคิดไม่สามารถรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้เลย เพระฉะนั้น

เลิกหวัง เลิกอยาก ไม่ต้องไปพูดถึงสติปัฏฐาน แต่ความเข้าใจในสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ที่

กำลังปรากฏที่เกิดจากการฟังที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ เป็นปัจจัยให้สติตามรู้ในสิ่งที่มีอยู่

จริงๆ ที่กำลังปรากฏ โดยที่ไม่ใช่ตามคิด เพราะตามคิดมีแต่เรื่องราวของสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว ไม่ได้รู้ในตัวลักษณะธรรมจริงๆ ... ตามรู้ไม่ใช่ตาม

คิด... ความรู้ความเข้าใจเท่านั้นเป็นปัจจัยให้สติตามรู้ในลักษณะสภาพ

ธรรมที่กำลังปรากฏ

ขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 17 ส.ค. 2552

ขณะที่ตามคิดนั้นสิ่งที่ปรากฏดับไปแล้ว..จึงไม่รู้สภาพธัมมะที่ปรากฏตามความเป็นจริงตามรู้หมายถึงรู้สิ่งที่ปรากฏขณะนั้นตามรู้หรือตามคิดบังคับบัญชาไม่ได้..เกิดตามเหตุปัจจัย...สังขารธรรมทำหน้าที่ปรุงแต่งให้ตามรู้หรือตามคิด...ปัญญาที่สะสมจากการฟังการศึกษาธรรมะด้วยความเข้าใจจะเป็นสังขารที่ปรุงแต่งให้ตามรู้ธรรมะตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Pongpat
วันที่ 17 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนา

การที่บางท่านบอกว่าตามรู้ตลอดทั้งวัน บางครั้งอาจจะเป็นแค่ขั้นคิดนึกก็ได้ เพราะการเจริญสติปัฏฐานไม่ได้มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ด้วยความสะสมคุ้นเคยกับบัญญัติเรื่องราวหรือชื่อ มานานตั้งแต่อดีตชาตินับไม่ถ้วน จนหนาแน่น แยกไม่ออกว่า

อะไรคือปรมัตถ์หรือบัญญัติ โลภะนั้นละเอียดมาก แค่ขยับตัวไปข้างหน้า ก็ขยับไป

ด้วยโลภะ ด้วยความเป็นเรา โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้นกำลังเป็นเรา บางท่านคิดว่านี่ไม่ใช่

เรา แต่นั่นก็เป็นเพียงขั้นคิดนึก เพราะสภาพธรรมเกิดดับไวมาก จนไม่รู้ว่านี่คือคิดหรือ

รู้ บางท่านตามรู้โดยบอกว่าขณะนี้รูปกำลังนั่งเก้าอี้หรือ แขนกำลังงอนี่ก็ไม่ใช่การตามรู้

แต่เป็นเพียงขั้นคิดนึก ที่อาจเข้าใจผิดว่าเป็นขั้นรู้ เพราะเหตุนี้จึงขาดการศึกษาพระ

ธรรมในส่วนละเอียดไม่ได้เลย (ปรมัตถธรรม) เพื่อเป็นอาหารบำรุงสติปัฏฐานให้เจริญ

ตามปกติในชีวิตประจำวัน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 17 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ถ้าเข้าใจผิดว่า ตามคิด คือ สติตามระลึกรู้

ก็เป็นเครื่องกั้นการเจริญของปัญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 17 ส.ค. 2552

การจดจ้อง ความต้องการ เป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คนรักธรรมะ
วันที่ 18 ส.ค. 2552

อนุโมทนาค่ะ...

โดยส่วนตัว เวลาเผลอไปแล้วรู้สึกตัว ก็แค่ชั่วแวบเดียว หลังจากนั้นเริ่มจงใจแล้วค่ะ เป็นบ่อยเลยค่ะ อาศัยระลึกรู้ว่าจงใจ หรือเผลอคิด ก็พอช่วยให้ไม่หลงนานได้ เพราะมันเป็นไปตามกิเลสความเคยชิน บังคับไม่ได้จริงๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 18 ส.ค. 2552

"ตามรู้ไม่ใช่ตามคิด" เป็นคำใหม่ เข้าใจด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างสองลักษณะผมขอทราบว่าท่านอาจารย์กล่าวไว้จริงหรือไม่ โปรดอ้างอิงด้วยเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 18 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 18 ส.ค. 2552

สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าจิตเห็น จิตได้ยิน จิตรู้กลิ่น จิตรู้รส จิตรู้-

เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว หรือ จิตคิดนึก ล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับไม่มีใครทำคิดให้เกิดขึ้นได้ เมื่อได้

อบรมความเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่มีจริง ว่าเป็นเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา แม้จิตที่คิดก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง สติตามรู้จิตที่คิดว่าเป็นเป็นสภาพ-นามธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เราที่คิด เพราะสติก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Jans
วันที่ 18 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 ส.ค. 2552

ท่านอาจารย์กล่าวเสมอว่าท่านเป็นผู้ถ่ายทอดพระธรรม..คำว่าตามรู้มีอยู่ในพระไตรปิฏกหลายหน้า..ขอยกเป็นตัวอย่างคะ

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 322

ซึ่งธรรมทั้งสี่ ธรรมทั้งสี่เป็นไฉน ? เพราะไม่รู้ตาม ไม่ แทงตลอด ซึ่งศีลอันเป็นอริยะ ซึ่งสมาธิอันเป็นอริยะ ซึ่งปัญญา อันเป็นอริยะ ซึ่งวิมุติอันเป็นอริยะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศีลอันเป็นอริยะ สมาธิอันเป็นอริยะ ปัญญาอันเป็นอริยะ วิมุติอันเป็นอริยะ นี้ อันเรารู้ตามแล้ว แทงตลอดแล้ว เราจึงถอนตัณหาในภพเสียได้แล้ว ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ดังนี้ (พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณพจน์นี้ ครั้นแล้วจึงได้ตรัสคำอันท่านประพันธ์เป็นคาถาในภายหลัง ความว่าดังนี้)

ธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ เป็นธรรมอันยอดเยี่ยม อันพระโคดมผู้มียศทรงตามรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงรู้ยิ่งด้วยประการฉะนี้แล้ว ได้ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายเป็นศาสดาผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ ผู้มีจักษุ ปรินิพพานแล้ว ดังนี้๑เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่ หรือ ?

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
suwit02
วันที่ 20 ส.ค. 2552

สาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ