รู้จิตของใครดีกว่า?
วันนี้ (๒๓ ส.ค. ๕๒) ไปฟังธรรมที่มูลนิธิฯ มีผู้เขียนมาถามท่านอาจารย์ว่า “คนที่เขามาว่าเรา จิตของเขาเป็นกุศลหรืออกุศล เราจะรู้ได้ไหม?” ท่านอาจารย์ตอบทันทีว่า
“แล้วคนฟังเขาน่ะ จิตเป็นอะไร?” คำตอบสั้นๆ ของท่านอาจารย์เตือนให้ระลึกถึงจิตของตัวเอง ท่านเคยบรรยายไว้ครั้งหนึ่งว่า ควรรู้อกุศลของตนเองเพื่อขัดเกลา และรู้กุศลของคนอื่นเพื่ออนุโมทนาและทำให้คิดถึงชีวิตประจำวันของตนเองว่า วันๆ คิดแต่อกุศลของคนอื่น หรือคิดถึงจิตของคนอื่น ลืมระลึกรู้จิตของตนเองว่า เป็นกุศลหรืออกุศล ระยะนี้ดูข่าวโทรทัศน์ เห็นหน้าท่านนายกในดวงใจเครียด ก็อดสงสารไม่ได้ คิดว่าจิตของท่านคงเป็นอกุศล โดยลืมดูจิตของตัวเองเช่นเคย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังเต็มไปด้วยกิเลสประการ ต่างๆ พระธรรมจึงเป็นเครื่องเตือนที่ดีอยู่เสมอ ในฐานะที่เป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลสยังเต็มไปด้วยกิเลสทุกๆ ประการ จึงควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมสะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ เมื่อมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ย่อมจะรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่าเป็นผู้มีกิเลสมาก กิเลสที่มีมากนั้น ปัญญาเท่านั้นที่จะละได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะละได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ดังนั้น กิจที่ควรกระทำ คือ การอบรมเจริญปัญญาเพื่อละกิเลสของตนเอง ไม่ใช่กิเลสของผู้อื่นครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นปกติในชีวิตประจำวันจริงๆ ที่อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต โดยเฉพาะอกุศลที่เป็นโลภ เกิดเกือบตลอดเวลา ก็ยังไม่รู้ แล้วจิตคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร ท่านอาจารย์ได้กล่าวเตือนเสมอว่าสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือ สิ่งที่กำลังปรากฎ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาระลึกรู้ ตามรู้สิ่งที่กำลังปรากฎซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง จิตเห็นที่กำลังปรากฎก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ขณะโลภะเกิดขึ้นก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง โทสะเกิดขึ้นก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สภาพธรรมที่กำลังปรากฎล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ