เข็ดกันหรือยัง ๑

 
คุณย่า
วันที่  24 ส.ค. 2552
หมายเลข  13321
อ่าน  2,901

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ ฯ
ครั้งที่ ๙๒ พื้นฐานพระอภิธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒

คุณอรวรรณ คำถามก็สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ท่านอาจารย์พูดถึงว่า อกุศลเกิดบ่อย กุศลเกิดไม่ค่อยมาก ท่านอาจารย์ก็ถามว่า "เข็ดกันหรือยัง" จะขอเรียนให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความว่า "เข็ดกันหรือยัง" นี่หมายความถึงอะไร ทำอย่างไรจึงจะเข็ด

ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้ว คุณอรวรรณมีทุกข์บ้างหรือเปล่า?

คุณอรวรรณ มีค่ะ

ท่านอาจารย์ ทุกข์มากไหมค่ะ

คุณอรวรรณ บางครั้งก็ทุกข์มากค่ะ

ท่านอาจารย์ ทนได้ไหม

คุณอรวรรณ บางครั้งก็คิดว่าทนไม่ได้ แต่มันก็ผ่านมาได้ ก็แสดงว่าทนได้แล้วครั้งเดียวหรือเปล่า หลายครั้งมากค่ะ

ท่านอาจารย์ ชาตินี้เท่านี้ ชาติก่อนเท่าไร ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ค่ะ ปวดฟัน ปวดศรีษะปวดท้อง เป็นไข้ หิว ทรมานสักเท่าไร ก็ยังคงพอใจในการที่จะติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่มีวันหายไปเลยค่ะ ทันทีที่เจ็บคิดถึงอะไรค่ะ

คุณอรวรรณ อยากจะไม่เจ็บ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็หาทางทุกอย่าง จะยังคงมีความติดข้องในรูป ในเสียง....ในโผฏฐัพพะ ไม่เห็นภัย ว่าขณะนั้น ไม่มีใครต้องการความรู้สึกอย่างนั้นเลย เป็นความรู้สึก ซึ่งเกิดวันแล้ววันเล่า ต่อๆ กันไปมากๆ นานๆ ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ทนได้ไหม หรือว่าจะเข็ดแล้วหรือยัง ก็ยังคงไม่เข็ด ตราบใดที่ยังมีความพอใจในรูป ใจจะคิดถึงรูป ถึงเสียง ...โผฏฐัพพะทันที คือ ต้องการสิ่งนั้น สิ่งนี้เพื่อที่จะบรรเทา หิว ไม่เข็ด เพราะว่า สามารถจะมีสิ่งที่พอใจที่จะทำให้หายหิวได้ เพราะฉะนั้น ทันทีที่อาหารเค็ม ชอบไหมค่ะ หันไปหาอะไร ทันทีเลยใช่ไหม เพื่อจะให้สิ่งนั้นปรากฎ เป็นที่น่าชอบใจต่อไป

เพราะฉะนั้น ตลอดวันก็จะมีสิ่งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นสิ่งน่าพอใจก็ลืม กำลังชอบสิ่งนั้น เพลิน แต่เวลาที่ไม่พอใจ หรือเป็นทุกข์ ก็ไม่รู้ว่าความทุกข์นั้นน่ากลัว หรือ น่าเข็ด เกิดแล้วเกิดเล่า !!! ตราบใดที่ยังมีชีวิต มีร่างกาย มีรูปร่าง ที่จะพ้นจากความทุกข์ ไม่มี เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เช้านี้ มีแล้ว ใช่ไหมค่ะ แต่ก็หันไปหาสิ่งที่น่าพอใจ แทนสิ่งที่ไม่น่าพอใจในขณะนั้นทันที รวดเร็วมาก ไม่ต้องมีใครเตือน ให้ทำอะไรเลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วิริยะ
วันที่ 26 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 26 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 27 ส.ค. 2552

เพราะฉะนั้น ตลอดวันก็จะมีสิ่งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นสิ่งน่าพอใจก็ลืม กำลังชอบสิ่งนั้น เพลิน แต่เวลาที่ไม่พอใจ หรือเป็นทุกข์ ก็ไม่รู้ว่าความทุกข์นั้นน่ากลัวหรือน่าเข็ด เกิดแล้วเกิดเล่า !!!

เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่อประโยชน์ที่จะทำให้ไม่ประมาท จุดประสงค์ควรจะเป็นการอบรมเจริญสติเพื่อรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง มิเช่นนั้นก็ต้อง เกิดแล้วเกิดเล่า... ทรงแสดงไว้ว่า ผู้ที่ตายจากมนุษย์แล้วส่วนมากไปสู่อบาย หมดโอกาสที่จะเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ขณะนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ควรที่จะอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริงหรือยัง.. ขอยกตัวอย่างใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ขณสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สุภาพร
วันที่ 27 ส.ค. 2552

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pamali
วันที่ 6 ต.ค. 2553
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ