ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม
ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือ ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ ก่อนการตรัสรู้ ไม่มีใครพบว่าเป็นธรรมะ เพราะเห็นว่าเป็นคน เป็นสัตว์เป็นเรา เป็นเขา เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายเป็น "อนัตตา" หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง แต่ลักษณะของธรรมนั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งจะต้องค่อยๆ ไตร่ตรองตามลำดับ เช่น ขณะนี้อะไรจริง กำลังเห็นมีจริงๆ สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ เสียงมีจริงๆ จิตที่ได้ยิน รู้เสียงนั้นมีจริงๆ ความสุขมีจริง ความทุกข์มีจริงลักษณะของแข็งมีจริง สภาพที่กำลังรู้แข็งมีจริง ทั้งหมดนี้เป็นธรรม
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องศึกษาให้ทราบว่าที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่ถ้าไม่มีตัวธรรมะที่เกิดขึ้นปรากฏ เราก็ไม่มี แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้น เพราะความไม่รู้ก็เลยถือว่าสิ่งที่เกิดนั้นเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา เช่น รูป ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แต่เพราะความไม่รู้ก็ยึดถือรูปนั้นว่าเป็นเรา แม้แต่สภาพของจิตใจ หรือความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแต่เมื่อไม่รู้ก็ยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้น จากการที่เคยเป็นเราทั้งหมด ความรู้โดยการศึกษา จะทำให้เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด ซึ่งมีจริงๆ ที่มีจริงๆ เพราะว่าเกิดขึ้นปรากฏ ถ้าไม่เกิดปรากฏ ก็ไม่มีใครสามารถจะไปรู้ ไปเห็น ไปเข้าใจได้ แต่เพราะว่าในขณะนี้เอง สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่มีจริง และเกิดขึ้นแล้วจึงปรากฏ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตรงกับไตรลักษณะที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ สภาพธรรมใดที่มีปัจจัยเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วดับไป ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา
ขอกราบอนุโมทนาในหัวข้อนี้ เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นหัวข้อที่พวกเราทุกคนควรที่จะเซฟเอาไว้อ่าน เพื่อเตือนใจอยู่เสมอ เพราะมีประโยชน์มากๆ เรามักจะลืมอยู่เสมอว่าความจริง หรือสภาพธรรม นั้นเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวหนังสือ อ่านแล้วก็แค่เข้าใจความหมาย แต่ไม่เข้าใจในอรรถะ หรือ ตัวจริงๆ ของแต่ละสภาพธรรมเพราะถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจในความจริงของแต่ละสภาพธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏเราก็ไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์นี้ไปได้เลย
แต่การเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏ ใช่ว่าจะรู้ได้ง่ายๆ เป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าใจไม่ได้ หากมีการหมั่นสังเกตในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏอยู่เนืองๆ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ ประโยชน์คืออยู่ตรงนี้ ท่านอาจารย์เคยพูดอยู่เสมอว่า ปัญญาในขั้นการฟัง ขั้นการคิด หรือขั้นการพิจารณา ไม่สามารถที่จะทำอะไรกิเลสได้เลย นอกจากสติปัฏฐานเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เราจะต้องเป็นคนที่ตรง ในความเข้าใจของดิฉัน ถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจในอรรถะ หรือตัวจริงของธรรมก็ เป็นอันว่าจบค่ะ เราจะไม่ได้สาระอะไรจากการฟังพระธรรมเลย
อนุโมทนา เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ ไม่รู้ตัวจริงของธรรม ก็เป็นอันเข้าไม่ถึงอรรถ ไม่ถึงธรรม
จากการฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้บรรยายใน MP 3 ยิ่งฟังมากขึ้น ก็รู้ว่าพระธรรมนั้นละเอียดยิ่งนัก การที่จะได้สาระจากการฟังพระธรรมก็คือ การเข้าใจตัวจริงของธรรมะในชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ และ ได้รู้จักอกุศลของตัวเองว่ามีมากเหลือเกิน
กราบอนุโมทนาอย่างยิ่งจากหัวข้อธรรมนี้ สกิดเตือนใจดีมาก