เข็ดกันหรือยัง ๒
สนทนาธรรมที่มูลนิธิ ฯ
พื้นฐานพระอภิธรรม ครั้งที่ ๙๒
วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
คุณอรวรรณ จริงๆ ในคำสอนของพระพุทธองค์ ก็มีการกล่าวถึง ขันธ์ ๕ เปรียบเสมือนอสรพิษ คือ เลี้ยงไม่เชื่อง แต่สำหรับผู้ฟังถ้าปัญญายังไม่มากพอ ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ คำว่า "เข็ด" ท่านอาจารย์ก็บอกว่ายังพอใจในการเห็น การได้ยิน ในสิ่งที่น่าพอใจและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พอใจ และพยายามหาสิ่งที่น่าพอใจ จะต้องเข้าใจพระธรรมตามที่เราศึกษากันอยู่นี้หรืออย่างไร ขอให้ท่านอาจารย์ขยายความด้วย
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ คือเกิดมานี้ ไม่ใช่เราเกิด ธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นธาตุที่มีปัจจัยก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดแล้วก็เป็นไปตลอด แล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เข็ด ใช่ไหม เห็นแล้วก็เห็นอีกๆ ๆ ไปเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่ปรากฎทางตาก็เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้นให้ติดข้องเห็นแล้ว ทั้งเห็นก็ดับ ทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาก็ดับ ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ก็มีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อ ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ ในการยึดถือว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่เราอยู่ที่ไหน เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้น ก็มีแต่ความไม่รู้ กับความติดข้อง และยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด ไม่มีเราแต่เข้าใจว่าเป็นเรา
คุณอรวรรณ ก็แสดงว่า ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจพระธรรม และรู้จักลักษณะของพระธรรมจริงๆ จึงจะเข็ด เพราะว่าเมื่อรู้จริงๆ แล้วธรรมก็ คือ แค่ประจักษ์ ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเข็ดได้ ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้ความจริงเท่านั้น
ท่านอาจารย์ กำลังฟังนี้ ไม่เข็ดหรอกใช่ไหม ฟังตั้งนานก็ไม่เข็ด ปัญญาไม่ถึงระดับที่จะเห็นความจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็เป็นธรรมทั้งหมด ก็ยังไม่เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม จนกว่าจะฟังแล้วมีความเข้าใจมั่นคง เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฟังแล้วมีความเข้าใจขึ้น ว่าสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ ตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ เพียงให้ระลึกได้ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏทางตา ทางหูก็ปรากฏแล้วก็หมดไปเลย ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยที่ทำให้มีสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไป ตลอดหมดทุกขณะเป็นอย่างนี้ "ฟัง" ไม่ได้ให้ทำอะไรนี่ค่ะ
แต่ให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้ว กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ มิฉะนั้นก็ยังคงมีตัวตน ที่คิด ที่จะทำ หรือว่าอยากที่จะทำ ให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่มีความเข้าใจ ในสิ่งที่เกิดแล้วในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ
สิ่งใดจะปรากฏทางตา ทางหูก็ปรากฏแล้วก็หมดไปเลย ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยที่ทำให้มีสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไปตลอดหมดทุกขณะเป็นอย่างนี้
สาธุ
ปัญญาไม่ถึงระดับที่จะเห็นความจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็เป็นธรรมทั้งหมด ก็ยังไม่เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม จนกว่าจะฟังแล้วมีความเข้าใจมั่นคง
ขออนุโมทนาค่ะ