ความสงบของจิต

 
วิริยะ
วันที่  2 ก.ย. 2552
หมายเลข  13443
อ่าน  1,547

ขอเรียนถามค่ะ

ขณะที่ฟังธรรม มีการบรรยายถึงพระพุทธองค์ หรือ พระสาวก และการอ่านหนังสือธรรมเมื่อกล่าวถึงพระพุทธองค์ หรือ พระสาวก แล้วเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ปิติ เช่นนั้น เรียกว่าเป็นความสงบของจิตหรือไม่

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 3 ก.ย. 2552

กล่าวโดยรวมก็คือ ขณะใดที่จิตเป็นกุศล เป็นไปในทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นจิตสงบ

จากอกุศล แต่กุศลขั้นภาวนาะดับอุปจาระหรืออัปปนาสมาธิจะสงบแนบแน่นมากว่า

จิตขณะขณิกสมาธิ ขณะที่จิตเป็นอกุศลขณะนั้นจิตไม่สงบครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วิริยะ
วันที่ 3 ก.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 3 ก.ย. 2552

กุศลชื่อว่าไม่มีโทษ ไม่มีโรค เบาสบาย สงบจากอกุศลชั่วขณะที่กุศลจิตเกิด

ในครั้งพุทธกาล ท่านพระมหากัปปินะ และท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี ได้ยิน

คำว่าพระพุทธเจ้า ก็เกิดปิติด้วยกุศลจิต เพราะท่านได้อบรมปัญญามาในอดีตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sam
วันที่ 3 ก.ย. 2552

อุทธัจจเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ไม่สงบในอารมณ์ เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกดวง

ดังนั้น ขณะใดที่จิตเป็นกุศลอันเป็นไปในทาน ศีล และภาวนา (สมถะและวิปัสสนา)

ขณะนั้นไม่มีอุทธัจจเจตสิกเกิดร่วมด้วย กุศลจิตจึงเป็นสภาพธรรมที่สงบครับ

มีข้อสังเกตุนิดหนึ่งครับว่า โลภมูลจิต และกุศลจิตเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา (ความ

รู้สึกเป็นสุข) ก็ได้ เกิดร่วมกับอุเบกขาเวนา (ความรู้สึกเฉยๆ ) ก็ได้ ผู้ที่จะสามารถรู้

ความแตกต่างระหว่างโลภมูลจิตที่ไม่สงบ กับกุศลจิตที่สงบได้จริงๆ ต้องเป็นผู้ศึกษา

มาก เข้าใจมาก พิจารณามาก และมีการสนทนาสอบถามกัลยาณมิตรอยู่เสมอครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วิริยะ
วันที่ 3 ก.ย. 2552

เรียนความเห็นที่ 5

ที่ท่านกล่าวมานั้น หมายความว่า โลภมูลจิต กับ กุศลจิตที่สงบ นั้นมีความคล้ายคลึงกัน ถ้ายังไม่มีปัญญา อาจจะยังแยกไม่ออก หรือเข้าใจผิดว่า อกุศลเป็นกุศล แต่ความซาบซึ้ง เมื่อได้ฟังการบรรยายถึงพระพุทธองค์ น่าจะเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนนะคะ คิดเช่นนั้นหรือไม่ หรือ เป็นไปได้ไหมที่ไม่มีใครรู้ นอกจากตัวเราเอง

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sam
วันที่ 4 ก.ย. 2552

การรู้ว่าจิตสงบหรือไม่ ไม่ใช่รู้ได้เพียงเพราะเป็นโสมนัสเวทนาครับ แต่รู้ได้ด้วย

ปัญญาและเป็นความรู้เฉพาะตน ดังนั้น ผู้ที่จะรู้ได้จะต้องอบรมกุศลจิตที่ประกอบ

ด้วยปัญญา เช่นการศึกษาพระธรรม และพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วิริยะ
วันที่ 4 ก.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วันใหม่
วันที่ 4 ก.ย. 2552


อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ

แม้นี้ก็เป็นรัตนะอันประณีตคือพระพุทธเจ้า ด้วยคำสัตย์นี้

ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์ทั้งหลาย

กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ปิติเจตสิกเกิดกับจิตที่เป็นกุศลก็ได้ เกิดกับจิตที่

เป็นอกุศลคือโลภะก็ได้ ถามว่าใครรู้..ตัวเองรู้ รู้ด้วยอะไร ด้วยปัญญา..ปัญญาขั้นไหน

ไม่ใช่ขั้นคิดนึก ไม่ใช่ขั้นพิจารณาเพราะขณะที่คิดนึก พิจารณาในความรู้สึกนั้นที่

ซาบซึ้ง เป็นต้น สภาพธรรมนั้นดับไปนานแล้ว ไม่มีลักษณะให้รู้ในสภาพที่เป็นกุศล

หรืออกุศล จึงต้องเป็นปัญญาที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้น จึงจะรู้ว่า

ขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องประมาณ แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่รู้ตรง

ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปัญญาของตนเอง เมื่อใดที่เป็นกุศลสงบ เมื่อใดที่เป็น

อกุศลไม่สงบ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คุณ
วันที่ 5 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วิริยะ
วันที่ 5 ก.ย. 2552
ขอบคุณและอนุโมทนาความเห็นที่ 9 ค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ups
วันที่ 5 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
michii
วันที่ 17 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
JIRACAS
วันที่ 26 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ