ผัสสะเป็นเหตุแห่งกาม
พื้นฐานพระอภิธรรม
อาทิตย์ ๒๖ ต.ค. ๕๑
กุล เมื่อพูดถึงความยินดีในภพ นึกถึงสูตรที่ท่านกล่าวว่า ผัสสะเป็นเหตุแห่งกาม ซึ่งกามในที่นี้ก็คือความใคร่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ผัสสะกระทบอารมณ์ เป็นปัจจัยให้โลภะที่มีความติดข้องในอารมณ์นั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่ายังมีบุคคล ที่เมื่อผัสสะกระทบอารมณ์แล้ว ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ที่ได้สนทนากันในคราวที่แล้ว
อาจารย์ เมื่อผัสสะ กระทบกามคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ หรือเปล่า ไม่ว่าใครผู้ที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส ผัสสะก็กระทบกับรูปเสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ ในกามภูมิ จะปราศจากรูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อผัสสะเกิดก็กระทบกับรูปธรรมที่กระทบตา กระทบหู จมูก ลิ้น กาย และกระทบใจนั่นต่างหากทางมโนทวาร
อย่างผัสสะกระทบ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ เวทนาเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่จะแสดงให้เห็นความเป็นจริงว่าเวทนาไม่ได้มาจากอื่นเลย แต่เกิดกับจิต ตามผัสสะที่จิตรู้อารมณ์นั้น แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกเกิดทุกขณะ แล้วแต่ประเภทของความรู้สึกนั้น ถ้าเกิดกับจักขุวิญญาณก็เป็นอุเบกขา เกิดกับโสตวิญญาณก็เป็นอุเบกขา ฆานวิญญาณ และชิวหาวิญญาณก็เป็นอุเบกขา แต่กายวิญญาณจะเป็นอุเบกขาได้ไหม?....ไม่ได้ ก็ต้องเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา แต่ต่อจากนั้นสำคัญที่สุด ที่ไม่รู้คือ “อาสวะ” โลภะ ก็เป็นอาสวะ อวิชชา ก็เป็นอาสวะ มีพร้อมที่จะกระทำกิจธุระ และกิจธุระถ้ามีแล้วก็พร้อมที่จะให้เกิดทุกข์ คือ ปฏิสนธิ นำมาซึ่งชาติ ชรา พยาธิโศก มรณะ ประจวบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ
เพราะฉะนั้น การแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ ที่แสดงโดยนัยของผัสสะ เวทนา และอาสวะ เตือนแล้วใช่ไหมคะ? กระทบตามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสิ่งที่ปรากฏ ก็สีบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง จะให้ปราศจากความรู้สึกในสิ่งนั้นๆ เป็นไปไม่ได้ ดีไหมล่ะคะที่มีความรู้สึกอย่างนั้นๆ ๆ แต่ให้รู้ว่า สำหรับผู้ที่ไม่ได้ดับกิเลส ขณะนั้นก็เป็น “อาสวะ” เตือนทันที ให้รู้ว่าอาสวะมากแค่ไหน
เพราะฉะนั้น คำถามของท่านที่ว่า เมื่อไรจะรู้ก็คงจะตัดไปได้นะคะ เพราะว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจจริงๆ ซึ่งหมายความถึงปัญญานั่นเอง
ไม่ได้ศึกษาเพื่อ ให้รู้ว่ายาก ศึกษาว่าไม่มีเรา รู้ว่าเพราะอะไรจึงไม่มีเรา
กราบอนุโมทนาครับ