เรื่องเกี่ยวกับ สำนักปฏิบัติ

 
ธรรมทัศนะ
วันที่  12 ก.ย. 2552
หมายเลข  13511
อ่าน  3,042

เรื่องเกี่ยวกับ "สำนักปฏิบัติ" ...

"... ขอให้ผู้ฟังพิจารณาว่าผู้ที่ยึดถือ ... มีความเห็นว่าจำเป็นจะต้องไป "ปฏิบัติธรรม" ที่ "สำนักปฏิบัติ" นั้น ท่านถือ "สถานที่" เป็นสำคัญ หรือว่าท่านถือ "ข้อปฏิบัติ" เป็นสำคัญ ...

... และประการสำคัญข้อปฏิบัติ ที่ว่าปฏิบัตินั้น ปฏิบัติกันอย่างไร เป็นการเจริญสติปัฏฐานเป็น "ปกติ" หรือว่า "ผิดปกติ" ถ้าไม่ใช่การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถรู้ "อริยสัจจธรรม" ตามความเป็นจริงได้ ...

... ข้อสำคัญ คือ "เป็นปกติ" ไม่หวั่นไหวไปด้วย "ความต้องการ"

... "จาก "ธรรมาภิสมัย" ... หน้า ๑๑๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
oom
วันที่ 12 ก.ย. 2552

สำหรับการไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ นั้น ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ไป เพราะในปัจจุบันส่วนใหญ่ จะเน้นการสอนว่าต้องไปปฏิบัติ ซึ่งสมัยก่อนดิฉันก็จะไปปฏิบัติปีละ ๑ ครั้ง ประมาณ ๗ -๑๐ วัน

แต่พอได้ศึกษาฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ จึงเข้าใจ และ ไม่ได้ไปเหมือนแต่ก่อน เพื่อนที่ปฏิบัติรุ่นเดียวกัน เขาก็ยังไปอยู่ ชวนให้มาฟังธรรม เขาบอกว่าสู้ไปปฏิบัติไม่ได้ ก็คงเป็นเหตุปัจจัยของแต่ละคนที่สะสมมา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 13 ก.ย. 2552

ขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏเกิดขึ้น และดับไป สืบต่ออยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ก็ต้องเริ่มจากการรู้สิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้อะไรเป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแต่ละทวาร ก็ไม่สามารถอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้ การปฏิบัติธรรมนั้น หมายถึง การจรด หรือการถึงเฉพาะลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง

การปฏิบัติธรรมนั้น มาจากภาษาบาลีว่า " ปฏิปัตติ " (ปฏิ = ถึง, ปัตติ = เฉพาะ) เพราะฉะนั้น "การปฏิบัติธรรม" จึงหมายความว่าการถึงเฉพาะลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้ ไม่ต้องไปสู่สถานที่ใดๆ โดยเฉพาะ เพราะมีสภาพธรรมปรากฏอยู่พร้อมให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้อยู่ทุกๆ แห่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 13 ก.ย. 2552

ที่ต้องไปสำนักปฏิบัติ เพราะว่า เรา ต้องไป ถ้าไม่ไป เรา ก็ไม่ได้ปฏิบัติ แล้ว เรา อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีประโยชน์ เรา จึงต้องหาทางไป เพื่อเริ่มฝึกเอาไว้ก็ยังดี ได้บุญกลับมาด้วย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย

ผมเคยคิดอย่างนี้ครับ แต่จริงๆ หากพิจารณาให้ละเอียดด้วยเหตุและผลจริงๆ กลับมีแต่เสีย ไม่มีได้เพราะชีวิตทั้งชีวิตจะไปได้สักกี่ครั้ง และทั้งชีวิตนี้ก็มีแต่ เรา ไปชาติไหนๆ ก็ เรา ไป อยู่นั่นแหละครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
รากไม้
วันที่ 21 ม.ค. 2553

เรียนคุณ จักรกฤษณ์ ความเห็นที่ 3

ก็คิดว่า "ร่างกายเรา" คือ แค่ สิ่งมีชีวิต สิครับ สิ่งมีชีวิต ที่เราแค่มาอาศัย เพื่อดำรงอยู่ในโลกนี้ ... เพื่อทำกุศล เมื่อหมดเวลา เราก็ต้องละทิ้งไป ขณะนี้ เราขอยืม ร่างกายนี้ มาทำกิจ เป็นที่สถิตเพียง จิตใจ ของเราแค่นั้น เราเอา จิตใจ ไปฟังธรรมเพื่อเกิดปัญญา แต่มีร่างกายเพียงแค่ตามติดไปด้วย เป็นพาหนะ อย่างหนึ่ง (มีพาหนะ ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจได้) หลายสิ่งหลายอย่างที่เราคิดไปเองว่า "เราทำ" แต่จริงๆ แล้ว เป็น "กรรม" ทำ ... กรรมที่เราเคยทำในอดีต ส่งผลวิบากให้เรา เห็น, พบ, ทำ สิ่งต่างๆ ในขณะนี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราคิดไปเองว่า "เราต้องการ" แต่จริงๆ แล้ว เป็น "กิเลส" ต้องการ ... จิตใจเรา ต้องการแค่เพียง ความว่าง ความสงบนิ่ง เท่านั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เราคิดไปเองว่า "เรามี เราเป็นเจ้าของ" แต่จริงๆ แล้ว "ไม่เคยมีอะไร เป็นเจ้าของอะไรเลย" ... ทุกสิ่งก็อยู่ของมันอย่างนั้น เราเอาใจไปผูกติดไว้เอง สิ่งที่เราอยากได้เราก็ผูกไว้แน่นๆ เราไม่อยากได้ เราก็ไม่ผูกหรือผูกไว้หลวมๆ ควรพิจารณา แบบนี้ อยู่เนืองๆ จนชัดเจน มากขึ้นตามลำดับ ครับ

... ไม่ทราบว่า จะเข้าใจยากหรือเปล่านะครับ ถ้าเข้าใจ ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
อภิรมย์
วันที่ 10 พ.ค. 2553

เห็นด้วยกับคุณเมตตาและคุณรากไม้ เอาเป็นว่าปฏิบัติกับเจ้าก้อนธาตุที่บัญญัติว่าเป็นเราที่ไหนๆ ก็น่าจะได้ใช่ไหมคะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pamali
วันที่ 4 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พิม
วันที่ 6 ม.ค. 2555

ขอบคุณคุณรากไม้จริงๆ ใช่จริงๆ ค่ะ อ่านแล้วเกิดปัญญา เข้าใจถึงบึ้งหัวใจ

ขออนุโมทนา ... เจ้าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 7 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 8 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wanipa
วันที่ 9 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เข้าใจ
วันที่ 13 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความว่าง ความสงบนิ่งนี้ ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้นรับรส ไม่มีกระทบสัมผัส และ ไม่มีคิดนึกด้วยใช่ไหมครับ สภาวะแบบนี้ถึงนิพพานหรือยัง แต่ถ้าถึงนิพพานแล้ว ต้องถามตัวเองดูก่อนว่า ถ้าไม่มีตาให้เห็น ไม่มีหูให้ได้ยิน ไม่มีลิันให้รับรส เป็นต้น ว่ายังอยากจะไปนิพพานอีกไหม เพราะสิ่งดังกล่าวมา จะไม่มีอีกเลย ไม่ทราบผมเข้าใจแบบนี้จะถูกไหม ขอท่านผู้รู้แสดงให้ทราบด้วยครับ เพื่อยังสติและปัญญาให้เกิดขึ้นขอขอบพระคุณครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
peem
วันที่ 15 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
timnaka555@gmail
วันที่ 10 มี.ค. 2558

ดิฉันเคยไปสำนักของท่านอาจารย์สุจินต์ หลายปีมาแล้ว หลังจากฟังธรรมะของท่านทางวิทยุ และได้เปิดเน็ตฟังที่บ้านตลอดมา รู้สึกว่าดีใจที่มาถูกทางก่อนที่ชีวิตและจิตของเราจะดับสูญ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
โพธิ์งามพริ้ง
วันที่ 10 มี.ค. 2558

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
khoondee
วันที่ 5 มิ.ย. 2561

สาธุ สาธุ ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ