พระคุณของพระรัตนตรัย...?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่ประเทศอินเดียณ พระคันธกุฎี พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถีตุลาคม ๒๕๔๒ ท่านอาจารย์
มีข้อความที่แสดงว่า ผู้ทรามปัญญา คือ ผู้ที่ไม่มีปัญญาไม่สามารถมี "พระรัตนตรัย" เป็นสรณะ คงจะเคยได้ยินคำว่า "พระรัตนตรัย" มาตั้งแต่ยังเด็กและ รู้ว่า หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และ ถือว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด แต่ ไม่เคยเข้าใจเลย ว่า ... พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐสุด อย่างไร.?
บางคน คิดว่า พระองค์จะบันดาล สิ่งที่ขอได้ถ้าเป็นเช่นนั้น ... เราพึ่งอะไร ในองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ? ถ้าจะพึ่ง ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ ก็ต้องพึ่ง "พระคุณทั้ง ๓" คือ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เราต้องพึ่งพระปัญญาธิคุณ แน่นอนเพราะว่า เราไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ด้วยตัวเองถ้าพระองค์ ไม่ตรัสรู้ ด้วยพระปัญญา ซึ่งทำให้พระองค์ ทรงบริสุทธิ์ถึงระดับที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ทรงพระมหากรุณา
ซึ่งแม้แต่จะมีบุคคลเพียงคนเดียว ที่ได้อบรมเจริญปัญญามาแล้วและสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ... แม้บุคคลนั้น อยู่แสนไกล ก็เสด็จไปโปรด เพื่อทรงอนุเคราะห์ให้บุคคลนั้น ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะจะมีสิ่งอื่นใดในโลกที่ประเสริฐกว่า การที่จะทำให้บุคคลที่สั่งสมปัญญามาแล้วและ มีปัญญามากพอที่จะสามารถเข้าใจสภาพธรรมได้ถูกต้องจนสามารถที่จะดับกิเลสได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากแสนยากที่จะอนุเคราะห์ได้เพราะถ้าไม่ใช่ ปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลส และพ้นจากสังสารวัฏฏ์ได้ ด้วยเหตุนี้ ... แม้หนทางจะไกลแสนไกลก็เสด็จไปเพื่อทรงอนุเคราะห์บุคคลนั้น นี่คือ "พระมหากรุณาคุณ"
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ "ศึกษาพระธรรม" มีทางใดบ้าง ... ที่จะเห็น "พระปัญญาคุณ" การที่เราคิด ว่า เราสามารถเข้าใจพระธรรม โดยไม่ต้องศึกษาเราเทียบว่า เราเป็นใคร ... และ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นใคร.!เราถึงจะสามารถเข้าใจพระธรรมได้ ... โดยไม่ต้องศึกษา นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด.! ผู้ที่นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม
มิฉะนั้น กล่าวไม่ได้เลย ว่า เราเป็นผู้ที่นับถือพระองค์เพราะเราไม่รู้จัก ... เราไม่รู้ ว่า พระองค์สอนอะไรก็เพราะว่า เราไม่ได้ศึกษาในสิ่งที่พระองค์สอน.! เพราะฉะนั้น ต้องเป็น "ผู้ที่มีปัญญา"จึงจะสามารถมี พระรัตนตรัยเป็นสรณะ ได้ แม้แต่ "ธรรมรัตนะ" ซึ่ง หมายถึง "โลกุตตรธรรม" และ "นวโลกุตตรธรรม" คือ รวมทั้งปริยัติธรรม คือการศึกษา ด้วย เพราะแม้ว่า นิพพาน เป็น โลกุตตรธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เกิด ไม่ดับเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส แต่ ผู้ที่รู้แจ้งนิพพาน เป็นผู้ที่ข้ามพ้นจากการเป็นปุถุชน สู่ความเป็นพระอริยบุคคล ตามลำดับนั้น
ต้องอาศัย "การศึกษา" คือ การฟังพระธรรม และ การอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเป็น "อริยสัจ ๔" นี่จึงเป็น สรณะ คือ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง.! เพราะว่า ถ้าบุคคลใด เพียงแต่ ให้ทาน รักษาศีลหรือ มีปัญญาระดับของฌาน คือ ความสงบของจิตแม้สงบจนถึงระดับที่ทำให้เกิดในพรหมโลก ก็ยังกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีกคือ ยังมี โลภะ โทสะ โมหะเพราะว่า ยังไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง.
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญหนทางที่ทรงแสดงไว้แม้มีการกระทำอย่างอื่น เช่น ทาน ศีล สมถภาวนาผู้นั้น ก็มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เพียงเล็กๆ น้อยๆ ควรพิจารณาตนเอง ว่าเพราะมีศรัทธา มีความนับถือใน "พระปัญญาคุณ" จึงมีการศึกษาพระธรรมและ เมื่อ เริ่มมีความเข้าใจ ก็ชื่อว่า เริ่มมีพระรัตนตรัย เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เพราะระลึกถึงพระธรรมที่ทรงแสดง ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด ... เมื่อมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมจริงๆ ก็จะเริ่มเห็น "ความเป็นอนัตตา" เริ่มเห็น "พระคุณ" ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้เข้าใจพระธรรม ... จนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล.!
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นการศึกษาพระธรรม โดยไม่ขาดปัญญา มิฉะนั้นก็เป็นเพียงความเชื่อ ว่า มีพระพุทธเจ้า เวลามีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์อย่างนั้น เป็นความเข้าใจที่ถูก หรือ ผิด? อย่างนั้น เป็นการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หรือไม่? ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ยังคงต้องอยู่ในสังสารวัฏฏ์ด้วยการไม่รู้จัก "พระคุณของพระรัตนตรัย"
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์.