ความจริงแห่งชีวิต [147] ปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรมที่ต่างกัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แม้ว่าการเกิดในมนุสสภูมิเป็นกุศลวิบากก็จริง แต่บางบุคคลก็พิการแต่กำเนิด เพราะกุศลวิบากจิตที่ทำกิจปฏิสนธินั้นเป็นผลของกุศลกรรมที่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเป็นกุศลกรรมอย่างอ่อนมาก กุศลวิบากจิตที่ทำปฏิสนธิกิจนั้นจึงไม่ประกอบด้วยโสภณเจตสิก คือ ไม่เกิดร่วมกับอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก เป็นต้น เมื่อเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนมาก อกุศลกรรมซึ่งทำไว้จึงเบียดเบียนให้เป็นผู้พิการแต่กำเนิดได้
ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ที่ไม่พิการแต่กำเนิดนั้น ล้วนเกิดมาต่างๆ กันโดยสกุล ยศศักดิ์ บริวาร เพราะกุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธินั้นต่างกันตามกำลังของกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุ ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิกอย่างอ่อน หรือไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ปฏิสนธิจิตที่เป็นกุศลวิบากนั้นก็เกิดร่วมกับโสภณเจตสิกและเหตุ ๒ คือ อโลภเจตสิก และอโทสเจตสิก เป็นทวิเหตุกบุคคล คือเป็นบุคคลที่ปฏิสนธิจิต ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย บุคคลนั้นจึงไม่สามารถบรรลุฌานหรือโลกุตตรธรรมในชาตินั้น
ผู้ที่ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาและปฏิสนธิจิตมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยนั้น เป็นติเหตุกบุคคล เพราะมีเหตุ ๓ คือ มีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิก (อโมหะ) เกิดร่วมด้วย บุคคลนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมก็สามารถพิจารณาเข้าใจพระธรรม และสามารถอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุฌานจิต หรือรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ๔ บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ได้ตามควรแก่การสะสมของเหตุปัจจัย แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะบางท่านเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะก็จริง แต่ถ้าประมาทการเจริญกุศล ประมาทการฟังพระธรรม ก็จะเป็นผู้ที่ฉลาดแต่ในทางโลก ในวิชาการต่างๆ แต่ไม่อบรมเจริญปัญญาในทางธรรม จึงไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์