สุจริต ๓ เป็นอาหารของสติปัฏฐาน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่ประเทศอินเดีย ณ พระคันธกุฎี พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ตุลาคม ๒๕๔๒ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
โดยมาก ทุกคนต้องการผลจากการอบรบรมเจริญปัญญาหรือการเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงกาย วาจา ว่าเป็นอย่างไร ฟังธรรม ก็เพื่อว่า เมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด แต่กาย วาจา จะเป็นอกุศลศีล ก็ไม่สนใจ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจในความละเอียดของพระธรรมและทราบว่า พระธรรม คือ พระพุทธพจน์ทุกคำ เป็น "คำเตือน" ซึ่ง เตือนให้เรา "เข้าใจถูก" แม้แต่ ขณะที่ อกุศลจิต เกิดขึ้น ขณะนั้นกาย วาจา ก็ไหวไปตลอดด้วย อกุศลจิต และ เป็น อกุศลศีลวันนี้ ลองพิจารณาดู ว่า อกุศลศีล มีเท่าไร.!แค่นี้ ก็เป็น "คำเตือน" หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดว่า สุจริต ๓ เป็นอาหารของสติปัฏฐาน"เป็นการเตือน" อีก ว่า อย่ามุ่งหวังที่จะให้สติปัฏฐานเกิดโดยไม่คำนึงถึง กาย วาจา ว่าจะเป็นอย่างไรเพียงแต่จะขอให้สติปัฏฐานเกิด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนั้น หมายความว่า เป็นไปด้วยความหวังแต่ไม่ใช่ด้วยการฟังพระธรรม แล้วเห็นโทษของอกุศลทุกประการแล้ว ค่อยๆ ขัดเกลา ละคลาย อกุศลทุกประการ การขัดเกลาจริงๆ ต้องเป็น ขณะที่ "ปัญญา" เกิด"ปัญญา" กระทำกิจ ขัดเกลาความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมซึ่ง เคย "ยึดถือ" สภาพธรรมต่างๆ ว่า "เป็นเรา"
เพราะว่า ผู้ที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล ต้องมี "ความเห็นถูก" ในลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริงจนประจักษ์แจ้ง เป็น "วิปัสสนาญาณ" นั่น จึงจะเป็น "ปัญญา" จริงๆ ถ้าคิดว่าต้องไปทำอย่างอื่น เพื่อเกิดปัญญาขณะนี้ สภาพธรรมเกิดแล้ว ดับแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้ ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริงว่า ความจริง คือ สภาพธรรมขณะนี้ เกิดดับ ตามเหตุปัจจัยและ "ไม่ใช่เรา" อย่างไร
แต่เป็นเพราะ "ตัวตน" ทั้งหมดเลย ที่คิดทำอย่างอื่นขึ้นมา เพื่อจะรู้ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้ ว่าขณะนี้ ที่กำลังเห็นนั้น สติเกิด หรือ หลงลืมสติ อย่างไร หรือ "ปัญญา" ที่เพิ่งอบรมให้ค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้นจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม นั้นต่างกับขณะที่ "สติปัฏฐาน" เริ่มเกิด แต่ ยังไม่ใช่ "วิปัสสนาญาณ" อย่างไร และ วิปัสสนาญาณ แต่ละขั้น จะเป็นปัจจัยให้มีการ เริ่มละคลาย ความไม่รู้ ในขณะที่เห็นทางตา อย่างไร.! ซึ่งก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ไม่เคยรู้เลย ว่า ขณะที่กำลังเห็นเห็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และ คิดว่า ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วย แต่ ขณะใด ที่มีปัจจัยให้ สติ เกิดขึ้นแล้วค่อยๆ ระลึก ตรง ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง และเมื่อ "ปัญญา" ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น "ปัญญา" ก็จะรู้ว่า มีการละคลายความยึดถือในสภาพธรรม ที่เคยยึดถือว่า เป็นตัวตน
เมื่อเกิด (ปัญญา) ความรู้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิด ปรากฏแต่ละทางๆ และ ประจักษ์ การเกิดดับ ของสภาพธรรมการละคลายความยึดถือในสภาพธรรม ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นๆ แต่ทั้งหมดนี้ ต้องเป็นผู้ที่ละ "สมุทัย" คือ "โลภะ" ตั้งแต่ต้น (เริ่มละ) ตั้งแต่เริ่มฟังพระธรรม เริ่มศึกษาพระธรรมคือรู้ว่า จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เพื่ออะไร ไม่ใช่ด้วยความหวังถ้าฟังหรือศึกษาพระธรรม ด้วยความหวังความหวังเป็นเครื่องกั้น เครื่องเนิ่นช้าซึ่ง หมายถึง โลภะ คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อันเป็นเครื่องขัดขวาง หรือ เครื่องกั้นการเจริญของธรรมฝ่ายกุศล
เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม ต้องประมวลและควรทราบว่า พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงไว้อย่างนั้นเพราะอะไร หรือ เพื่ออะไร ไม่ใช่ว่า เมื่อตัวหนังสือเขียนว่าอย่างนี้ ก็จะต้องไปทำสุจริต ๓ ให้สมบูรณ์เสียก่อนและผู้ที่จะมีศีลสมบูรณ์ แม้เพียง "ศีล ๕" คือ ผู้ที่เป็น "พระโสดาบันบุคคล"
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์