การมีมโนภาพทำร้ายพ่อแม่
ที่มันเกิดขึ้นมาเอง และส่วนตัวแล้วนั้น ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีปัญหากับพ่อแม่
หรือว่าทำในสิ่งไม่ดี หรือ โกหกพ่อแม่มากนัก ในครอบครัวก็มีความสุขกันดีน่ะค่ะ
ไม่ได้คิดในตอนโกรธเคือง หรือว่ามีความต้องการที่จะทำจริงๆ ไม่ได้บันดาลโทสะ
อะไรทั้งนั้นน่ะค่ะ
แต่ว่ามันเป็นมโนภาพ ที่เราเห็นเป็นภาพ อาจจะไม่ชัดเจน แต่ก็คือเห็นเป็นเราทำร้าย
พ่อแม่ หรือคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีเจตนาอยากจะทำแบบนั้น
หรืออาจจะเป็นเพราะรับมาจากปัจจัยที่ได้รับรู้มาจากภายนอก ทั้งการอ่าน การฟังข่าว
การดูละครทีวี แบบนั้นเป็นไปได้หรือไม่คะ?
คือไม่ต้องการมีความคิดแบบนี้เลย หนูรักพ่อกับแม่ของหนูมาก รวมทั้งคนอื่นๆ ที่หนู
ได้เคยคิดล่วงเกินพวกเขาเอาไว้ ไม่ว่าจะตั้งกาย วาจา ใจ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม
มันอาจจะกลายเป็นกรรม หรือ เศษกรรม รวมทั้งเวลาที่หนูคิดแบบนี้ขึ้นมา
หนูก็ชอบคิดโทษตัวเองไปต่างๆ นาๆ ด่าตัวเอง แช่งตัวเองบ้าง
ซึ่งหนูไม่อยากให้เกิดแบบนี้อีกเลยค่ะ มันทรมาน และกำลังเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า
รบกวนช่วยเด็กคนนี้ด้วยนะคะ หนูคิดแบบนี้มาหลายเรื่อง หลายรอบ
จนบางครั้งก็เหมือนคนเป็นบ้าไปแล้วค่ะ T T
ในเบื้องต้นควรทราบว่าธรรมชาติของใจ ย่อมเป็นอย่างนี้เอง คือคิดไปต่างๆ นาๆ ไม่ใช่หนูเป็นเพียงคนเดียว คนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน แต่ความคิดจะดีและเป็นระเบียบและดี มากขึ้น ด้วยการศึกษา เข้าใจธรรมะ เพราะทุกขณะในชีวิตคือธรรมะ ไม่ต้องกังวลอะไรกับความคิดเลย ควรหมั่นสะสม กระทำแต่สิ่งที่ดี แล้วทุกอย่าง ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะการสะสมปัญญาเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง ที่สุดก็คือการไม่ต้องกลับมาเป็นอย่างนี้อีก อีกอย่างหนึ่งในยุคปัจจุบัน การไปพบแพทย์เพื่อบรรเทาอาการเฉพาะหน้า ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ฝันไม่ใช่เรื่องจริงนะ ขณะนี้ซิจริงครับ อยู่กับขณะนี้ เข้าใจความจริงว่าเราไมได้เป็น
อย่างนั้น ไมได้ทำอย่างนั้น ความคิดก็นึกคิดไปต่างๆ ถ้าเราทำจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง ขอให้
หนูแยกว่ามันคือความฝันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะเบาขึ้นครับ สิ่งที่ทำใน
ความฝันไม่มีผลที่จะต้องได้รับโทษหนักหรอกครับ แค่ความฝัน ไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับ
ผลร้ายอะไรร้ายแรง ฝันไม่ใช่เรื่องจริง กังวลใจซิเรื่องจริง ถ้าเราไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ
ก็ไม่ต้องกังวลอะไรเพราะเราไม่ได้ทำมันคือความฝันครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครสามารถบังคับให้สภาพธรรมเกิดขึ้นได้ แต่เกิดขึ้นแล้วตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่ "คิด" ก็เช่นเดียวกัน ก่อนอื่นต้องเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นก่อนว่า คิด เป็น คิด ถ้าไม่มีจิตย่อมจะคิดไม่ได้ แต่เพราะมีจิต จึงคิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าบุคคลที่เกิดมาแล้วนั้น ไม่มีใครที่ไม่คิด ย่อมคิดด้วยกันทั้งนั้น และที่สำคัญ ควรรู้ตามความเป็นจริงว่า คิด ไม่ใช่ผลของกรรม คิด ไม่ใช่วิบาก แต่ขณะที่คิดนั้น มีทั้งคิดดีและ คิดไม่ดี ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ขณะที่คิดดี เป็นกุศล ถ้าคิดไม่ดี ก็เป็นอกุศล ดังนั้น การศึกษาพระธรรม จึงเป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามลำดับ ทำให้เข้าใจความจริงได้ว่า ในชีวิตประจำวันนั้น ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น (รวมถึงขณะที่คิด ด้วย) ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ยิ่งและมีให้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา ความกังวลใจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย แต่ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นประโยชน์ เป็นที่พึ่งสำหรับชีวิตอย่างแท้จริง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ที่คุณ little-duck กล่าวว่า
"หรืออาจจะเป็นเพราะรับมาจากปัจจัยที่ได้รับรู้มาจากภายนอก ทั้งการอ่าน การฟังข่าว
การดูละครทีวี แบบนั้นเป็นไปได้หรือไม่คะ?"
ผมว่าก็น่าจะมีส่วนอยู่มากนะครับ
จิตมักจะฟุ้งซ่านไปตามเรื่องราวที่ได้รับมา
การเลือกรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์ และหมั่นศึกษาทำความเข้าใจพระธรรม
ตามคำแนะนำที่แต่ละท่านข้างต้นกล่าวมาเป็นสิ่งที่ดี
ที่ประเสริฐที่สุดเลยครับ