พระโอวาทานุสาสนี [๕] ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ

 
พุทธรักษา
วันที่  30 ก.ย. 2552
หมายเลข  13787
อ่าน  1,882

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่าความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยากชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยากการได้ฟังพระสัทธรรม เป็นของยากการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการยากยิ่ง พระผู้มีพระภาคฯ ตรัส ธรรม ๘ ประการ ที่น่าอภิรมย์ของภิกษุ ว่า

๑. พระธรรมวินัยนี้มีการศึกษา เป็นไปตามลำดับ มีการปฏิบัติ เป็นไปตามลำดับมิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตโดยตรงทีเดียว

๒. ในธรรมวินัยนี้ สาวก ไม่ล่วงสิกขาบทที่บัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต

๓. ในธรรมวินัยนี้สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลผู้ทุศีล ฯ

๔. บุคคล ผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตย่อมละนามและโคตรเดิม ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ แพศย์ ศูทร ธรรมวินัยนี้ นับว่าเป็นสมณศากยบุตรเสมอกันทั้งนั้น

๕. แม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพานนิพพานธาตุ ก็มิได้ปรากฏว่า จะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น

๖. ธรรมวินัย มีรสเดียว คือ วิมุตติรส

๗ ในธรรมวินัยนี้ มีรัตนะมากมายคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔อินทรีย์ ๕ โพชฌงค์ ๗ และ อริยมรรคมีองค์ ๘

๘. ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยของบุคคลเหล่านี้ คือ พระโสดาบัน ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง โสดาปัตติผล.พระสกทาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง สกทาคามิผล พระอนาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง อนาคามิผล.พระอรหันต์ ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง อรหัตตผล

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า ดูก่อน เมฆิยะผู้มีใจยังม่หลุดพ้นจากอาสวะ ควรแสวงหาธรรม ๕ ประการก่อน คือ ต้องมีมิตรดี ๑ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษ แม้มีประมาณน้อย ๑ มีความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา และพิจารณาความเกิด และ ความดับ ๑ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์ โดยชอบ ๑ ผู้มีปัญญา พึงทำจิตที่ดิ้นรน กลับกลอกรักษาได้ยาก ห้ามได้ยากให้ตรง เหมือนช่างดัดลูกศร ฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัส "กถาวัตถุ" คือ เรื่องที่ควรพูด ๑๐ ประการ ว่าชักนำให้มีความปรารถนาน้อย ๑ ชักนำให้สันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ๑ ชักนำให้เกิดความสงบ ๑ ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่คณะ ๑ ชักนำให้ปรารภความเพียร ๑ ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล ๑ ชักนำให้มีจิตตั้งมั่น ๑ ชักนำให้เกิดปัญญา ๑ ชักนำให้ยินดีในการหลุดพ้นจากกิเลส ๑ ชักนำให้เกิดความรู้ถึงผลดีของการละกิเลส ๑

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสสอนเรื่อง "ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" แก่ภิกษุทั้งหลาย ว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลายบุคคล ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นเป็นอันละไปแล้ว สิ่งใดยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้บุคคล ควรเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด

พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจักรู้ความตายในวันพรุ่งเพราะความผัดเพี้ยนต่อมัจจุราช ผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย บุคคล ผู้มีปกติอยู่อย่างนี้มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน ทั้งกลางวันและกลางคืนเรากล่าวว่า เป็นผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล

พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง "อัปปมาทสูตร" ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลายรอยเท้าของสัตว์ทั้งมวล ที่เที่ยวไปบนแผ่นดิน เหล่าใดเหล่าหนึ่งรอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงความรวมลงในรอยเท้าช้างเพราะรอยเท้าช้าง ใหญ่กว่าบรรดารอยเท้าของสัตว์ทั้งปวงในโลก แม้ฉันใด กุศลธรรม เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล"กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด" ย่อมรวมลงใน "ความไม่ประมาท"บัณฑิตกล่าวว่า "ความไม่ประมาทเป็นยอดของกุศลธรรมเหล่านั้น"

... ขออนุโมทนา ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 1 ต.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
hadezz
วันที่ 7 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ