พระโอวาทานุสาสนี...[๖]

 
พุทธรักษา
วันที่  1 ต.ค. 2552
หมายเลข  13788
อ่าน  1,077

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า บุคคล ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ชื่อว่า "อุบาสก" อุบาสก ผู้งดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา อุบาสกนั้น ชื่อว่า "เป็นผู้มีศีล" ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ๑ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ๑ ผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ ๑ เป็นผู้ใคร่ในในการฟังพระสัทธรรม ๑เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ตนฟังแล้ว ๑ เป็นผู้พิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ตนฟัง ๑ ตนเอง รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ ชื่อว่า อุบาสก ผู้ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ตน ส่วนผู้ที่ตนเอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ศรัทธา จาคะ ฯลฯเมื่อรู้แล้ว ชักชวนผู้อื่นให้รู้ด้วย ประพฤติด้วยชื่อว่า อุบาสก ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน และ เพื่อประโยชน์ผู้อื่น

พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง เรื่องโทษของกาม ว่า ดูก่อน มหาบพิตร กามคุณ ๕ นั่นแหละ เป็นเหตุให้พระองค์ถูกโลกธรรม โทสธรรม และโมหธรรม ครอบงำจิตไว้ในบางคราวทั้งนี้ เนื่องจากพระองค์ยังละธรรมเหล่านั้นไม่ได้ ฝูงชนที่ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกชนเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ ในสัมปรายภพ ฯ

ดูก่อน มหานามะ ความสุข ความโสมนัสใด ที่อาศัยกามคุณ ๕คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ เสียง ที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะกลิ่น ที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ รส ที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาโผฏฐัพพะ ที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย เหล่านี้เกิดขึ้นนี้เป็นคุณของกามทั้งหลาย

ดูก่อน มหานามะ อริยสาวก ย่อมเล็งเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงไม่ประกอบตนให้พัวพันกับสุขในกาม เป็นที่สุดและ ไม่ประกอบตนให้ลำบากที่สุดศาสนาของเรา พ้นจากที่สุดทั้งสองอย่าง

พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง การละกรรมกิเลส ๔ ประการคือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ และทรงแสดง การไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ ประการคือ "อบายมุข ๖" ได้แก่ เป็นนักเลงสุรา ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบเที่ยวดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านในการงาน.พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัส การนอบน้อมทิศทั้งหลาย ว่า มารดาบิดา เป็นทิศเบื้องหน้า คือ ทิศตะวันออกอาจารย์ เป็นทิศเบื้องขวา คือ ทิศใต้บุตร ภรรยา เป็นทิศเบื้องเหลัง คือ ทิศตะวันตกมิตร อำมาตย์ เป็นทิศเบื้องซ้าย คือ ทิศเหนือสมณพราหมณ์ เป็น ทิศเบื้องบน นี้ คือ ทิศทั้งหลายในวินัยของพระอริยเจ้า ที่ควรนอบน้อมคฤหัสถ์ในตระกูล ผู้ไม่ประมาท ควรนอบน้อมทิศเหล่านี้จักมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นที่พอใจของบุคคลอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์แต่เป็นที่พอใจของบุคคลอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น วาจาใดจริง ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่พอใจของบุคคลอื่น ตถาคตรู้เวลาที่จะกล่าววาจานั้น วาจาใดจริง ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่พอใจของบุคคลอื่น ตถาคตจึงกล่าววาจานั้น

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่าบุตรก็ดี บิดาก็ดี เผ่าพันธ์ก็ดี ญาติก็ดีย่อมไม่มีใครต้านทาน เมื่อความตายมาถึง พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่าดูก่อน วักกลิผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้น ชื่อว่า เห็นเราผู้ใดแลเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่า เห็นธรรม ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไป เป็นธรรมดาควรหรือ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตนของเรา ฯ

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่าบุญทั้งหลาย ที่บุคคลได้กระทำแล้ว ย่อมคอยต้อนรับ ประคับประคอง บุคคลผู้ทำบุญไว้ ผู้จากโลกนี้ ไปสู่โลกอื่นเสมือนหนึ่งญาติ ต้อนรับญาติที่รักผู้กลับมา ฉะนั้น ผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้แม้จากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเพลิดเพลินว่า เราได้ทำบุญแล้วเมื่อไปสู่สุคติ ย่อมเพลิดเพลินในโลกทั้งสอง บุคคลทำบาปในโลกนี้ ย่อมเห็นว่าบาปดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผลแต่เมื่อใดบาปของเขาเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาป ว่าชั่วแท้ๆ

... ขออนุโมทนา ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วิริยะ
วันที่ 1 ต.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
hadezz
วันที่ 7 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ