เหตุใดผมจึงศึกษาธรรมะ ...เพราะไม่รู้เวลาตาย
การพบกันครั้งสุดท้ายก่อนตายจากไปนั้น ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยที่จะแสดงให้รู้ว่า เมื่อเห็นกันแล้วจะไม่ได้เห็นกันอีก เมื่อเห็นตอนเช้าก็อาจไม่ได้เห็นตอนเย็น เห็นตอนเย็นก็อาจจะไม่ได้เห็นตอนเช้า ทุกคนเห็นความจริงว่า ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงหรือต่อรองความตายได้ จะขอเวลาต่อแม้เล็กน้อยก็ไม่ได้
ฉะนั้น การกล่าวถึงชีวิตของแต่ละคน ก็ไม่พ้นจากการพิจารณาสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นแต่ละบุคคล ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เมื่อพูดกันถึงผู้ตาย ก็ควรจะได้ระลึกถึงสภาพจิตในขณะนั้นว่าแยบคายหรือยัง แทนที่จะโศกเศร้า เสียใจ อาลัยอาวรณ์ ก็ควรจะเป็นความเบิกบานในพระธรรม ที่ได้เข้าใจความจริงอันเป็นสัจจธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงถึงธรรมดาของการเกิด ซึ่งต้องมีการตายเมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ตายนั้นไม่มี และการตายนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้เลย เมื่อเข้าใจความจริง ก็รู้ว่าความจริงเป็นสัจจธรรม
มีประโยชน์มากค่ะ อยากให้เขียนออกมาอีกเพราะว่ามีเรื่องที่สงสัยในการปฏิบัติและได้รับคำตอบจากเรื่องที่อ่านนี้ ใครที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติอย่างไรถ้าได้แบ่งปันกันเชื่อว่าจะช่วยให้ความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ผมก็เพิ่งจะมาศึกษาพระธรรม (พระไตรปิฎก) เมื่อ ปี พ.ศ.2554 นี้เอง อายุเกือบ 50 ปี พอมาศึกษาพระธรรมก็รู้ว่าศึกษาช้าเกินไป แต่ก็ไม่สายเกินไป เพราะยังไม่ตาย เมื่อศึกษาพระธรรมจึงรู้ว่า สิ่งที่เราได้รับรู้หรือมีใครอบรมสั่งสอนมานั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้อบรมสั่งสอนมาแล้วทั้งนั้นเลย ฉะนั้นผมจึงพยายามให้ผู้ที่ยังไม่เคยศึกษาพระธรรมได้มีความตั้งใจในการศึกษาพระธรรมยิ่งขึ้น เท่าที่ผมจะกระทำได้ครับ
ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนาครับ