พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสธรรมะ ในเทศะและกาละที่ไม่ควร - อรรถกถาปฏิจจสมุปบาท
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 3-19
สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมยสังยุต พุทธวรรคที่ ๑
อรรถกถาปฏิจจสมุปบาทสูตรที่ ๑
เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ ในปฏิจจสมุปบาทสูตรนั้น พรรณนาตามลำดับ
บทว่า ตตฺร โขภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ดังต่อไปนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺร เป็นคำแสดงถึงเทศะ สถานที่ และ กาลเวลา ฯลฯ ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ตรัสธรรมะ ในเทศะและกาละที่ไม่ควร ฯลฯ คำแสดงว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นครูของชาวโลก ด้วยคำว่า ภิกฺขู เป็นคำระบุถึง บุคคลผู้ควรแก่การฟังพระดำรัส อีกนัยหนึ่ง ในคำว่า ภิกฺขู นี้ พึงทราบความหมายถ้อยคำโดยนัยเป็นต้นว่า ที่ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า ขอ (และ) ที่ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า เข้าถึงการภิกษาจาร
บทว่า อามนฺเตสิ แปลว่า ตรัสเรียก คือได้ตรัส ได้แก่ ให้รู้ตัว ในคำว่า อามนฺเตสิ นี้ มีอธิบายดังนี้แต่ในที่อื่น มีความหมายว่าให้รู้ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราขอเดือนเธอทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย เราขอประกาศแก่เธอทั้งหลาย มีความหมายว่าเรียกก็มี เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่ามาเถิดภิกษุ เธอจงเรียกพระสารีบุตรมาตามคำของเรา
บทว่า ภิกฺขโว เป็นบทแสดงอาการ คือการตรัสเรียก ก็คำว่า ภิกฺขโว นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่เหล่าภิกษุ เพราะสำเร็จด้วยการประกอบด้วยคุณ มีความเป็นผู้ขอเป็นปกติก็ดี ผู้ประกอบด้วยคุณมีการขอเป็นธรรมดาก็ดี ผู้ประกอบด้วยคุณ คือทำความดีในเพราะการขอก็ดี ชื่อว่า ภิกษุ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประกาศความประพฤติของภิกษุเหล่านั้นอันคนชั้นเลว และ คนชั้นดี เสพแล้ว ด้วยถ้อยคำที่สำเร็จด้วยการประกอบด้วยคุณ มีการขอเป็นปกติ เป็นต้น จึงทรงทำการข่มภาวะที่เหล่าภิกษุผู้ผยองขึ้น เป็นต้น
อนึ่ง ด้วยคำว่า ภิกฺขโว นี้ ซึ่งมีการทอดพระเนตรลง อันแสดงถึงพระฤทัยอันเยือกเย็น ซึ่งแผ่ซ่านด้วยพระกรุณาพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำภิกษุเหล่านั้นให้หันมาทางพระองค์ ทรงให้ภิกษุเหล่านั้น เกิดความเป็นผู้ใคร่ฟัง ด้วยพระดำรัส ซึ่งแสดงความเป็นผู้ใคร่จะตรัสนั้นนั่นแล ทรงประกอบภิกษุเหล่านั้นไว้ในมนสิการด้วยดี ด้วยอรรถคือ การปลุกให้ตื่น นั่นแล เพราะการทำคำสอนให้ถึงพร้อม ต้องประกอบด้วยมนสิการให้ดี หากจะมีคำถามว่า เมื่อมีทวยเทพ และ มนุษย์อื่นๆ อยู่ เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกแต่ภิกษุเท่านั้น ตอบว่า เพราะภิกษุเหล่านั้น เป็นหัวหน้า เป็นผู้ประเสริฐ อยู่ใกล้ และมีจิตตั้งมั่นแล้ว ในกาลทุกเมื่อ
จริงอยู่ พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสาธารณะ แก่บริษัททุกเหล่า ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นหัวหน้าบริษัท เพราะเกิดขึ้นก่อน ชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐ เพราะประพฤติคล้อยตามพระจริยาวัตรพระศาสดา ตั้งต้นแต่ความเป็นผู้ไม่มีเรือนและเพราะรับเอาคำสอน (ของพระศาสดา) ทั้งสิ้นชื่อว่าเป็นผู้อยู่ใกล้ เพราะนั่งใกล้พระศาสดา (และ) ชื่อว่ามีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ เพราะเที่ยวไปในสำนักพระศาสดา อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น เป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนาเพราะเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอน (ของพระศาสดา) และ เพราะเป็นผู้พิเศษ
แม้พระธรรมเทศนานี้ ทรงหมายถึงภิกษุบางพวกเท่านั้น. เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกอย่างนี้ ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรม ตรัสเรียกภิกษุก่อน ย่อมไม่แสดงธรรมเลย เพื่ออะไร ตอบว่า เพื่อให้ (พวกภิกษุ) เกิดสติ (เพราะ) ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคิดเรื่องอื่น จะนั่งมัวมีจิตฟุ้งซ่านบ้างมัวพิจารณาธรรมอยู่บ้าง มัวทำใจในกัมมัฏฐานบ้าง
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ตรัสเรียกพวกเธอเลย ทรงแสดงธรรมไป พวกเธอจะไม่สามารถกำหนดได้ว่า พระธรรมเทศนานี้ มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นปัจจัย ทรงแสดงเพราะอัตถุปัตติอย่างไหน จะพึงรับเอาได้ไม่ดี หรือรับเอาไม่ได้เลย เพราะเหตุนั้น เพื่อจะให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดสติพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกเสียก่อนแล้วจึงแสดงธรรมภายหลัง
คำว่า ภทนฺเต นั้น เป็นคำแสดงความเคารพ อีกอย่างหนึ่ง คำนั้นเป็นการให้คำตอบแก่พระศาสดา อีกประการหนึ่ง ในคำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า ย่อมตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นเมื่อกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชื่อว่า ให้คำตอบพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ
คำว่า ภิกฺขโว คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดให้พวกภิกษุให้คำตอบ คำว่า ภทนฺเต คือ พวกภิกษุให้คำตอบ
บทว่า เต ภิกฺขู ได้แก่เหล่าภิกษุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
บทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ความว่า รับการตรัสเรียกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อธิบายว่า หันหน้าฟัง ได้แก่รับ คือรับปฏิบัติ คำว่า ภควา เอตทโวจ ความว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระสูตรทั้งสิ้นนี้ ที่ควรตรัสในบัดนี้
การพิจารณาเนื้อความแห่งคำเริ่มต้น ซึ่งประดับด้วยกาละ เทศะเทสกะ (ผู้แสดง) บริษัท และ อปเทส (ข้ออ้าง) ของพระสูตรนี้อันสมบูรณ์ด้วยอรรถ และพยัญชนะ ส่องถึงความที่พระสูตรนี้ ลึกซึ้งด้วยเทศนาญาณของพระพุทธเจ้า ที่ท่านพระอานนท์ภาษิตไว้ เพื่อกำหนดได้สะดวกจบบริบูรณ์แล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้
บัดนี้ โอกาสแห่งการพรรณนาพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้โดยนัยว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ โว เป็นต้น มาถึงโดยลำดับ ก็เพราะการพรรณนาพระสูตรนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพิจารณาเหตุตั้งพระสูตรก่อน แล้วจึงตรัสปรากฏชัดแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้า จักพิจารณาเหตุตั้งพระสูตรก่อน
แท้จริง เหตุตั้งพระสูตรมี ๔ อย่างคืออัธยาศัยของพระองค์เอง ๑ อัธยาศัยของผู้อื่น ๑ เป็นไปด้วยอำนาจคำถาม ๑ เกิดเรื่องขึ้น ๑
บรรดาเหตุตั้งพระสูตร ๔ อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า อันชนอื่นไม่ได้อาราธนาเลยตรัสพระสูตรเหล่าใด เพราะอัธยาศัยของพระองค์อย่างเดียวเท่านั้น คือ วสลสูตร จันโทปมสูตร วีโณปมสูตร สัมมัปปธานสูตร อิทธิบาทสูตร อินทริยสูตร พลสูตร โพชฌังคสูตร มัคคสูตร และ มงคลสูตร เป็นต้น พระสูตรเหล่านั้นชื่อว่ามีอัธยาศัยของพระองค์เองเป็นเหตุตั้งพระสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาอัธยาศัย ความอดทน ความพอใจ ความรู้ อภินิหาร และความตรัสรู้ของคนอื่นอย่างนี้ว่าธรรมทั้งหลายที่บ่มวิมุตติ ของพระราหุลแก่กล้าแล้ว ถ้ากระไร เราพึงแนะนำราหุลในธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะให้ยิ่งๆ ขึ้น ดังนี้แล้วตรัสพระสูตรเหล่าใดไว้ ด้วยอัธยาศัยของผู้อื่นคือ จูฬราหุโลวาทสูตร มหาราหุโลวาทสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรอนัตตลักขณสูตร อาสีวิโสปมสูตร (และ) ธาตุวิภังคสูตร เป็นต้นพระสูตรเหล่านั้นชื่อว่า มีอัธยาศัยของผู้อื่นเป็นเหตุตั้งพระสูตร
อนึ่ง ชนทั้งหลาย มีเป็นต้นว่า บริษัท ๔ วรรณะ ๔ นาค ครุฑ คนธรรพ์ อสูร ยักษ์ ท้าวจตุมหาราช เทวดาชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น (และ) ท้าวมหาพรหมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามปัญหาโดยนัยเป็นต้นว่าพระเจ้าข้า ธรรมเหล่านี้ พระองค์ตรัสเรียกว่าโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือพระเจ้าข้า ธรรมเหล่านี้ พระองค์ตรัสเรียกว่า นีวารณะ นีวารณะ หรือพระเจ้าข้าธรรมเหล่านี้พระองค์ตรัสเรียกว่า ปัญจุปาขันธ์หรือพระเจ้าข้า ในโลกนี้ อะไรเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดของคน พระผู้มีพระภาคเจ้า อันชนมีบริษัท ๔ เป็นต้นนั้น ทูลถามแล้วอย่างนี้ ได้ตรัสพระสูตรเหล่าใด มีโพชฌังคสังยุต เป็นต้นหรือแม้สูตรอื่นใด มีเทวดาสังยุต สักกปัญหสูตร จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สามัญญผลสูตร อาฬวกสูตร สูจิโลมสูตร และขรโลมสูตร เป็นต้น พระสูตรเหล่านั้น ชื่อว่า มีเหตุตั้งพระสูตรเป็นไปด้วยอำนาจคำทูลถาม. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ตรัสพระสูตรเหล่านั้นใดคือ ธัมมทายาทสูตร มังสูปมสูตร ทารุขันธูปมสูตร อัคคิขันธูปมสูตร เผณปิณฑูปมสูตร (และ) ปาริฉัตตกูปมสูตร เป็นต้น.
พระสูตรเหล่านั้น ชื่อว่า เหตุตั้งพระสูตร คือเกิดเรื่องขึ้น บรรดาเหตุตั้ง (พระสูตร) ๔ อย่างเหล่านี้ ดังว่ามานี้ ปฏิจจสมุปบาทสูตรนี้ ชื่อว่า มีเหตุตั้ง (พระสูตร) คือ อัธยาศัยคนอื่น.จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ตั้งพระสูตรนี้ไว้ด้วยอำนาจอัธยาศัยบุคคลอื่น ถามว่า ทรงตั้งไว้ด้วยอำนาจอัธยาศัยบุคคลชนิดไหน ตอบว่า ชนิดอุคฆติตัญญู
จริงอยู่ บุคคลมี ๔ จำพวก คือ อุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ (และ) ปทปรมะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น
บุคคลที่ได้ตรัสรู้ธรรม พร้อมกับเวลาที่ท่านยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง นี้เรียกว่า อุคฆติตัญญู
บุคคลที่ตรัสรู้ธรรม ในเมื่อท่านขยายความของข้อธรรมที่ท่านกล่าวไว้โดยย่อให้พิศดารนี้เรียกว่า วิปจิตัญญู
บุคคล เมื่อใช้โยนิโสมนสิการ โดยอุทเทสและปริปุจฉา เสพคนนั่งใกล้กัลยาณมิตร จึงได้ตรัสรู้ธรรม นี้เรียกว่า เนยยะ
บุคคลถึงจะฟังมากก็ดี กล่าวมากก็ดี ทรงจำมากก็ดี ท่องบ่นมากก็ดี ก็ไม่ได้ตรัสรู้ธรรมในชาตินั้น เรียกว่า ปทปรมะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งพระสูตรนี้ด้วยอำนาจอัธยาศัยของเหล่าบุคคล ผู้เป็นอุคฆติตัญญู ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ทราบว่า ในคราวนั้นภิกษุชาวชนบทจำนวน ๕๐๐ รูป ทั้งหมดแลเที่ยวไปรูปเดียว (บ้าง) เที่ยวไป ๒ รูป (บ้าง) เที่ยวไป ๓ รูป (บ้าง) เที่ยวไป ๔ รูป (บ้าง) เที่ยวไป ๕ รูป (บ้าง) มีความประพฤติเป็นสภาคกัน ถือธุดงค์ ปรารภความเพียร ประกอบความเพียรเป็นนักวิปัสสนา ปรารถนาการแสดงปัจจยาการที่ละเอียด สุขุม แสดงความว่างเปล่า เวลาเย็น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วมุ่งหวังการแสดงปัจจยาการ จึงพากันนั่งแวดล้อม (พระองค์) เหมือนแวดล้อมด้วยม่านผ้ากัมพลสีแดงฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภพระสูตรนี้ เพราะอำนาจอัธยาศัยของพวกเธอ
เปรียบเหมือนจิตรกรผู้ฉลาดได้ฝาเรือนที่ยังไม่ได้ฉาบทาเลย ยังไม่สร้างรูปภาพตั้งแต่ต้นเลยแต่เขาทำการฉาบฝาเรือน ด้วยการฉาบทาด้วยดินเหนียวเป็นต้นก่อนแล้วสร้างรูปภาพ ที่ฝาเรือนที่ฉาบทาแล้วแต่ครั้นได้ฝาเรือนที่ฉาบทาแล้ว ไม่ต้องทำการขวนขวายในฝาเรือนเลยผสมสีแล้ว เอาสายเชือกหรือแปลงทาสี สร้างรูปภาพอย่างเดียวฉันใดพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น ได้กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร แต่ยังไม่ทำความเชื่อมั่น จึงมิได้ตรัสบอกลักษณะวิปัสสนากัมมัฏฐานซึ่งละเอียด สุขุม แสดงความว่างเปล่า อันเป็นปทัฏฐานพระอรหันต์แก่เธอ แต่ชั้นต้นแต่ทรงประกอบ (เธอ) ไว้ในสัมปทาคือ ศีล สมาธิ และกัมมัสสกตาทิฏฐิ
ความเห็นว่า สัตว์มีกรรมเป็นของตนเสียก่อน จึงตรัสบอกปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งหมาย ตรัสว่าดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุนั้นแล เธอจงชำระปฏิปทาเบื้องต้นในกุศลธรรมก็อะไรเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม (คือ) ศีลที่บริสุทธิ์และทิฏฐิที่ตรง ดูก่อนภิกษุ เธอจักมีศีลบริสุทธิ์ และทิฏฐิตรงในกาลใดแล ดูก่อนภิกษุ ในกาลนั้นเธออาศัยศีล ดำรงในศีลแล้ว เจริญสติปัฏฐาน ๔ โดย ๓ อย่าง
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา โทมนัสในโลกพิจารณาเห็นกายภายนอก ฯลฯพิจารณาเห็นทั้งภายในและภายนอก ฯลฯ
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสได้ในโลก. ดูก่อนภิกษุ ในกาลใดแล เธออาศัยศีล ดำรงอยู่ในศีลพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุ ในกาลนั้น กลางคืน หรือกลางวันจักมาถึงเธอ ความเจริญอย่างเดียวในกุศลธรรม เธอพึงหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสการอบรมด้วยศีลกถา แก่อาทิกัมมิกกุลบุตร ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงตรัสบอกลักษณะแห่งวิปัสสนา อันละเอียด สุขุม แสดงความว่างเปล่า ซึ่งเป็นปทัฏฐานแห่งพระอรหัต และครั้นได้ภิกษุนักวิปัสสนา ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ปรารภความเพียรประกอบความเพียรแล้ว ก็ไม่ตรัสบอกปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้นแก่เธอแต่จะตรัสบอกลักษณะแห่งวิปัสสนาอันละเอียด สุขุม แสดงความว่างเปล่าซึ่งเป็นปทัฏฐานแห่งพระอรหัตตรงๆ เลย
ภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ครั้นชำระปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้นแล้วดำรงอยู่เหมือนทองคำบริสุทธิ์ คล้ายกับก้อนมณีที่ขัดแล้ว. โลกุตรมรรคอย่างหนึ่งไม่ได้มาถึงพวกเธอเลยพระศาสดาได้พิจารณาอัธยาศัยของพวกภิกษุเหล่านั้นเพื่อจะให้ถึงโลกุตรมรรคนั้น จึงทรงนำพระสูตรนี้มา
ฯลฯ
คำว่า ภิกฺขเว เป็นคำร้องเรียกเหล่าภิกษุ ผู้ปรากฏเฉพาะพระพักตร์ด้วยรับพระดำรัส
คำว่า เทเสสฺสามิ เป็นคำปฏิญญาที่จะแสดง (ธรรม)
คำว่า ตํ สุณาถ ความว่าเธอทั้งหลายจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น คือ เทศนากัณฑ์นั้นที่เรากำลังกล่าวอยู่
ก็คำว่า สาธุกํ นั้น ในคำว่า สาธุกํ มนสิกโรถ นี้ มีเนื้อความเป็นอันเดียวกันว่า สาธุ อนึ่ง สาธุ ศัพท์นี้ ใช้ในอรรถว่าทูลขอการตอบรับ การทำให้ร่าเริง ความดีและการทำให้มั่นคงเป็นต้น. จริงอยู่ สาธุ ศัพท์นี้ ใช้ในอรรถว่าทูลขอ ในประโยคเป็นต้นว่า สาธุ เม ภนฺเต ภควา สงฺขิตฺเตน ธมฺมํ เทเสตุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่พระองค์เถิด
ใช้ในอรรถว่า ตอบรับ ในคำเป็นต้นว่า สาธุ ภนฺเตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา ภิกษุนั้นแล กราบทูลว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า ดังนี้ ชื่นชม อนุโมทนาภาษิตพระผู้มีพระภาคเจ้า
ใช้ในอรรถว่า ทำใจให้ร่าเริง ในประโยคเป็นต้นว่า สาธุ สาธุสารีปุตฺต ดีแล้ว ดีแล้ว พระสารีบุตร
ใช้ในอรรถว่า ดี ในประโยคเป็นต้นว่า สาธุ ธมฺมรุจิราชา สาธุ ปญฺญาณวา นโร สาธุ มิตฺตานมทุพฺโภ ปาปสฺส อกรณํ สุขํ พระราชาผู้ทรงชอบพระทัยในธรรมดี นรชนผู้มีปัญญาดี การไม่ประทุษร้ายมิตรดี การไม่ทำความชั่วเป็นสุข
สาธุก ศัพท์นั่นแลใ ช้ในการกระทำให้มั่นเข้า ในประโยคเป็นต้นว่า เตนหิ พฺราหฺมณ สาธุกํ สุณาหิ พราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นเธอจงสดับให้มั่น. สาธุก ศัพท์นี้ท่านกล่าวว่า ใช้ในการบังคับก็ได้ แต่ในที่นี้ สาธุก ศัพท์นี้ใช้ในอรรถว่า การกระทำให้มั่นเข้าอย่างเดียว อนึ่ง อรรถแห่งการบังคับพึงทราบต่อไป แม้ในอรรถว่า เป็นความดีก็ใช้ได้ สาธุกศัพท์ในอรรถทั้งสองนั้น ท่านแสดงไว้ด้วยอรรถแห่งการทำให้มั่นว่า ทฬฺหํ อิมํ ธมฺมํ สุณาก สุคหิตํ คณฺหนฺตา เมื่อจะถือเอาให้ดี พวกเธอก็จงฟังธรรมนี้ให้มั่น
ด้วยอรรถแห่งการบังคับว่า มม อาณตฺติยา สุณาถ เธอทั้งหลายจงฟังตามคำสั่งของเราด้วยอรรถว่า เป็นความดีว่า สุนฺทรมิมํ ภทฺทกํ ธมฺมํ สุณาถเธอจงฟังธรรมนี้ให้ ให้เจริญ
บทว่า มนสิกโรถ ความว่าจงระลึก คือประมวลมา อธิบายว่า เธอจงมีจิตไม่ฟุ้งซ่านตั้งใจฟัง คือทำไว้ในใจ
บัดนี้ คำว่า ตํ สุณาถ ในที่นี้นั้น เป็นคำห้ามการที่โสตินทรีย์ฟุ้งซ่าน. คำว่า สาธุกํ มนสิกโรถ เป็นคำห้ามการที่มนินทรีย์ฟุ้งซ่าน ด้วยการประกอบให้มั่นในมนสิการ ก็ใน ๒ คำนี้คำแรก เป็นการยึดถือ ด้วยความคลาดเคลื่อนแห่งพยัญชนะ คำหลัง เป็นการห้ามการยึดถือ ความคลาดเคลื่อนแห่งเนื้อความ.พระผู้มีพระภาคเจ้าประกอบภิกษุไว้ในการฟังธรรมด้วยคำแรก.ทรงประกอบภิกษุไว้ในการทรงจำ และสอบสวนธรรมที่ภิกษุฟังแล้วด้วยคำหลัง. อนึ่ง ด้วยคำแรก ย่อมทรงแสดงว่า ธรรมนี้เป็นไปด้วยพยัญชนะ เพราะฉะนั้น จึงควรฟัง.ด้วยคำหลัง ทรงแสดงว่า ธรรมนี้เป็นไปด้วยเนื้อความเพราะฉะนั้น จึงควรทำไว้ในใจ
อีกอย่างหนึ่ง ควรประกอบสาธุกบทด้วยบท ๒ บทพึงทราบการประกอบความอย่างนี้ว่า เพราะธรรมนี้ลึกซึ้งโดยธรรม และลึกซึ้งโดยทศนา ฉะนั้น พวกเธอจงฟังให้ดี เพราะเหตุที่ธรรมนี้ลึกซึ้งโดยอรรถ และลึกซึ้งโดยปฏิเวธ ฉะนั้น พวกเธอจงทำในใจให้ดี
ฯลฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโดยย่อบ้างตรัสโดยพิสดารบ้าง ทรงมีพระสุรเสียงกังวานดังนกสาลิกา ทรงแสดงออกซึ่งปฏิภาณ.เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ภิกษุเหล่านั้นแล เกิดความอุตสาหะแล้ว ฟังตอบพระผู้มีพระภาคเจ้ามีคำอธิบายรับแล้ว คือ รับรองพระดำรัสของพระศาสดาว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯลฯ
จริงอยู่ การถามมี ๕ อย่าง คือ การถาม ส่องความที่ยังไม่เห็นการถาม เทียบเคียงที่เห็นแล้ว การถาม ตัดความสงสัย การถาม เห็นตาม (อนุมัติ) การถาม เพื่อจะตรัสตอบเสียเอง
การถาม ๕ อย่างเหล่านั้น มีความต่างกันดังต่อไปนี้ :- การถาม ส่องความที่ยังไม่เห็นเป็นไฉน.?ลักษณะแห่งคำถามตามปกติ อันชนอื่นไม้รู้ ไม่เหิน ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ไขให้แจ้ง บุคคลย่อมถามปัญหา เพื่อรู้เห็น ไตร่ตรอง พิจารณาแจ่มแจ้ง ไขปัญหานั้นให้เห็นแจ้ง การถามนี้ ชื่อว่าการถามส่องความที่ยังไม่เห็น การถาม เทียบเคียงความที่เห็นแล้วเป็นไฉน
ลักษณะ (คำถาม) ตามปกติ อันตนรู้เห็น ไตร่ตรอง พิจารณา แจ่มแเจ้ง ชัดเจนแล้วบุคคลนั้น ย้อมถามปัญหาเพื่อเทียบเคียงกับบัณฑิตเหล่าอื่น. การถามนี้ ชื่อว่าการถามเทียบเคียงความที่ตนเห็นแล้ว
การถามตัดความสงสัยเป็นไฉน
ตามปกติบุคคลผู้แล่นไปสู่ความสงสัย. ผู้แล่นไปสู่ความเคลือบแคลง เกิดความคิดแยกเป็น ๒ แพร่งว่าอย่างนี้ใช่หรือหนอ หรือมิใช่ หรือเป็นอย่างไร เขาจึงถามปัญหาเพื่อตัดความสงสัยการถามอย่างนี้ ชื่อว่าการถามตัดความสงสัย
การถามเห็นตาม (อนุมัติ) เป็นไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมตรัสถามปัญหาเพื่อการเห็นตามของภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิกษุกราบทูลว่า รูปไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็รูปใดไม่เที่ยง รูปนั้น เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พวกภิกษุกราบทูลว่า เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็รูปใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีการแปรปรวน เป็นธรรมดา ควรหรือเพื่อจะเห็นรูปนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา.?
พวกภิกษุกราบทูลว่า การยึดถืออย่างนั้นไม่ควรพระเจ้าข้า
การถามอย่างนี้ ชื่อว่า การถามเห็นตาม
การถามเพื่อจะตรัสตอบเสียเองเป็นไฉน
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสถามปัญหา เพื่อใคร่จะตรัสตอบภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน เป็นต้น การถามนี้ ชื่อว่า การถามเพื่อจะตรัสตอบเสียเอง บรรดาการถาม ๕ อย่างเหล่านี้สำหรับพระพุทธเจ้า ไม่มีการถาม ๓ อย่างข้างต้นเลย.ถามว่า เพราะเหตุไร ตอบว่า อะไรที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งในกาล ๓ อย่าง หรือพ้นจากกาล ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่งชื่อว่า ไม่ทรงเห็น ไม่สว่าง ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา ไม่เห็นแจ้ง ไม่แจ้งชัดแล้วไม่มีแก่พระพุทธเจ้าเลย.เพราะเหตุนั้น การถามเพื่อส่องอรรถที่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นยังไม่ทรงเห็นจึงไม่มี
ก็สิ่งใดอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแทงตลอดแล้วด้วยพระญาณของพระองค์
กิจด้วยการเทียบเคียงสิ่งนั้น กับ สมณะ พราหมณ์ เทวดา มารหรือพรหมอื่นของพระองค์ จึงไม่มี
เพราะเหตุนั้น การถามเทียบเคียงความที่พระองค์เห็นแล้ว จึงไม่มี ก็เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ไม่ทรงสงสัยว่าอย่างไร ทรงข้ามความสงสัยได้ ขจัดความสงสัยในธรรมทั้งปวงได้ ฉะนั้นการถามตัดความสงสัยของพระองค์ จึงไม่มี ส่วนการถาม ๒ อย่างที่เหลือ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังมีอยู่บัณฑิตพึงทราบว่า ในคำถาม ๒ อย่างนั้น การถามเพื่อใคร่จะตรัสตอบเสียเอง ดังต่อไปนี้ :-
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทางจำแนกปัจจยาการ ด้วยการถามนั้น จึงตรัสว่า อวิชฺชาปจฺจยา ภิกฺขเว สงฺขารา เป็นต้น. ก็ในคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา ภิกฺขเว สงฺขารา เป็นต้นนั้น พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ :-
เปรียบเหมือนบุคคลเริ่มกล่าวว่าเราจักพูดถึงบิดา ย่อมพูดถึงบิดาก่อนว่า บิดาของติสสะ บิดาของโสณะ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงเริ่มเพื่อตรัสปัจจัย เมื่อตรัสถึงธรรมมีอวิชชา เป็นต้นซึ่งเป็นปัจจัยแห่งธรรม มีสังขาร เป็นต้น โดยนัยเป็นต้นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้แล้ว จึงตรัสถึงธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แต่ในที่สุดแห่งอาหารวรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสธรรมแม้ ๒ อย่างว่าภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาท (การอาศัยกันและกันเกิดขึ้น) และปฏิจจสมุปปันนธรรม แก่เธอทั้งหลาย.ก็บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น ดังต่อไปนี้.
อวิชชานั้นด้วย เป็นปัจจัยด้วย ชื่อว่า อวิชชาเป็นปัจจัย.เพราะเหตุนั้น พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้ว่า สังขารย่อมเกิดมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย. ฯลฯได้แก่เพราะอวิชชาดับโดยไม่เหลือด้วยมรรค กล่าวคือวิราคะ (การสำรอก) . การที่สังขารดับโดยไม่เกิดขึ้น (อีก) ชื่อ สังขารนิโรธะ (สังขารดับ) . ก็เพื่อแสดงว่า เพราะการดับสังขาร และเพราะการดับขันธ์ ๕มีวิญญาณ เป็นต้น ที่ดับไปแล้วอย่างนี้ นาม-รูป ชื่อว่า เป็นของดับไปแล้วเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าสงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เป็นต้น แล้วตรัสว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกวลสฺส แปลว่า ทั้งสิ้น คือล้วนๆ อธิบายว่า เว้นแล้วจากสัตว์
บทว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส แปลว่า กองทุกข์. คำว่า นิโรโธ โหติ คือการไม่เกิดขึ้น.ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสวัฏกถา (กถาว่าด้วยวัฏฏะ) ด้วยบท ๑๒ บท โดยอนุโลม ย้อนกลับบทนั้นแล้ว ตรัสวิวัฏกถา (นิพพาน) ด้วยบท ๑๒ บท ทรงยึดยอดพระเทศนาด้วยอรหัต
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุนักวิปัสสนาจำนวน ๕๐๐ รูปเหล่านั้น เป็นบุคคลชั้นอุคฆติตัญญูแทงตลอดสัจจะ ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล เหมือนดอกปทุม ที่ถึงความแก่กล้า พอต้องแสงอาทิตย์ก็บานแล้วฉะนั้น.บทว่า อิทมโว จ ภควาได้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ คือพระสูตรทั้งสิ้น คือวัฏกถาและวิวัฏกถา
บทว่า อตฺตมนา เตภิกฺขู ความว่า ภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูปเหล่านั้นมีจิตยินดี เป็นพระขีณาสพแล้ว. บทว่า ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุํ ความว่า (ภิกษุเหล่านั้น) พากันชื่นชมพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสด้วยพระสุรเสียงดังดุจเสียงพรหม ไพเราะดุจเสียงนกการเวกระรื่นโสตเสมือนกับอมฤดาภิเษกโสรจสรงหทัยบัณฑิตชน อธิบายว่า อนุโมทนา รับพร้อมกันแล้ว เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ จึงกล่าวว่า สุภาสิตํ สุลปิตํ เอตํ สาธุติ ตาทิโน อนุโมทมานา สิรสา สมฺปฏิจฺฉึสุ ภิกฺขโว
ภิกษุทั้งหลาย อนุโมทนาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้คงที่ว่าพระดำรัส พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงภาษิตแล้ว ตรัสไว้แล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ดังนี้ รับพร้อมกันแล้ว ด้วยเศียรเกล้า
จบ อรรถกถาปฏิจจสมุปบาทสูตรที่ ๑
ขออนุโมทนาขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และ สรรพสัตว์.